"ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" เมื่อการหลอกลวงกลายเป็นอาชีพ
ในยุคที่การหลอกลวงมีรูปแบบซับซ้อนและแยบยลมากขึ้น คำว่า "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" กำลังกลายเป็นปรากฏการณ์ที่น่าวิตก เพราะไม่ใช่แค่การหลอกลวงครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นการกระทำซ้ำๆ อย่างเป็นระบบ เหมือนการประกอบอาชีพหนึ่ง
น่าสนใจว่าในมุมมองของกฎหมาย การฉ้อโกงธรรมดากับฉ้อโกงเป็นปกติธุระมีความร้ายแรงต่างกัน เพราะการฉ้อโกงที่เป็น "ปกติธุระ" สะท้อนถึงเจตนาชั่วร้ายที่ฝังรากลึก เป็นการกระทำที่ผู้กระทำตั้งใจจะทำซ้ำๆ อย่างสม่ำเสมอ จนกลายเป็น "สันดาน" หรือพฤติกรรมถาวร
ยิ่งไปกว่านั้น การฉ้อโกงเป็นปกติธุระยังถูกจัดให้เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน เพราะเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงเหล่านี้มักถูกนำไปผ่านกระบวนการ "ฟอก" ให้ดูเหมือนเงินสะอาด เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบ
ประเด็นที่น่าคิดคือ ทำไมสังคมไทยจึงมีคดีฉ้อโกงเป็นปกติธุระเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ? คำตอบหนึ่งอาจเป็นเพราะผลตอบแทนที่ล่อใจ เมื่อเทียบกับบทลงโทษที่กฎหมายกำหนด (จำคุก 1-10 ปี หรือปรับ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) อาจดูไม่หนักหนาพอที่จะยับยั้งผู้ที่คิดจะกระทำผิด
อีกประเด็นที่น่าพิจารณาคือ การฉ้อโกงในปัจจุบันมักแฝงมาในรูปแบบที่แยบยล บางครั้งผู้กระทำผิดอาศัยช่องว่างทางกฎหมายที่ระบุว่า "การให้คำมั่นสัญญาในอนาคต" ไม่ถือเป็นการฉ้อโกง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาหลอกลวงตั้งแต่แรก
แล้วเราจะป้องกันตัวเองอย่างไร? คำตอบคือต้องรู้เท่าทัน ตระหนักว่าการฉ้อโกงไม่ได้เกิดจาก "ความบังเอิญ" แต่มักเป็นแผนการที่วางไว้อย่างเป็นระบบ เมื่อใดที่มีข้อเสนอที่ "ดีเกินจริง" หรือมีการเร่งรัดให้ตัดสินใจ นั่นคือสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
ท้ายที่สุด การแก้ปัญหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง การสร้างความรู้เท่าทัน และที่สำคัญคือการปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้อง เพราะสังคมที่ยอมรับ "ความฉลาดแกมโกง" ย่อมเป็นแรงจูงใจให้เกิดการฉ้อโกงเป็นปกติธุระได้ง่ายขึ้น
ภาพ Freepik