“อนุทิน” ย้ำยุบสภา 31 ม.ค. 69 เปิดศึกเลือกตั้งใหม่ เดิมพันการเมืองไทย 4 เดือนสุดท้าย

สถานการณ์การเมืองไทยวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของ “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ที่มีอายุเพียง 4 เดือน หลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ยืนยันจะยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 ตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับพรรคประชาชน โดยนับ 1 ตุลาคมเป็นวันเริ่มต้นวาระ พร้อมประกาศชัดว่า “ยุบแน่” และจะไม่ปล่อยให้ใครอภิปราย “ด่าฟรี” โดยเฉพาะหากเป็นการเมืองเชิงล้างแค้น รัฐบาลชุดนี้จึงถูกมองว่าเป็น “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ที่มีเป้าหมายหลักในการรักษาเสถียรภาพ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และปูทางสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมจัดการเลือกตั้งทั่วไปควบคู่กับการออกเสียงประชามติ โดยมีกรอบเวลาเบื้องต้นคือ ยุบสภา 31 มกราคม 2569 และ เลือกตั้งวันที่ 29 มีนาคม 2569 ซึ่งเป็นวันช้าสุดตามกฎหมาย ก่อนคาดว่าจะได้รัฐบาลใหม่ภายในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน ทั้งนี้ กกต. ขอเวลาเตรียมงานอย่างน้อย 75 วัน เพื่อจัดเวทีให้ข้อมูลประชามติครบถ้วน หากต้องการเลือกตั้งวันที่ 29 มีนาคม รัฐสภาต้องส่งคำถามประชามติชุดแรกภายในวันที่ 13 มกราคม 2569
การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีบัตรทั้งหมด 4 ใบ ได้แก่ บัตรเลือกตั้ง ส.ส. เขต, บัตร ส.ส. บัญชีรายชื่อ, บัตรประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบัตรประชามติยกเลิกบันทึกข้อตกลง MOU ปี 2543–2544 ถือเป็นภารกิจครั้งใหญ่ของ กกต. ในการบริหารจัดการคูหา เจ้าหน้าที่ และระบบส่งคะแนน ซึ่งต้องทำให้โปร่งใสและไม่สะดุดทางเทคนิค
ในแง่สมการทางการเมือง รัฐบาลอนุทิน มีเสียงสนับสนุนรวม 173 ส.ส. จากพรรคร่วม ได้แก่ ภูมิใจไทย 68 เสียง, กล้าธรรม 31 เสียง, พลังประชารัฐ 17 เสียง, รวมไทยสร้างชาติ 16 เสียง และพรรคขนาดเล็กอื่น ๆ อีกหลายพรรค เมื่อรวมกับเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชน 143 เสียง ทำให้รัฐบาลมีเสียงในสภารวม 316 เสียง ขณะที่ผลโหวตนายกฯ วันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา นายอนุทินได้รับเสียงเห็นชอบ 311 เสียง ต่อ 152 เสียง
การเคลื่อนไหวของนักการเมืองในช่วงก่อนยุบสภายังคงคึกคัก โดยมีกลุ่ม “งูเห่าเพื่อไทย” 8 คน ประกาศหนุนรัฐบาลอนุทิน ขณะที่ กลุ่มเฉลิมชัย ศรีอ่อน จากพรรคประชาธิปัตย์ย้ายเข้าพรรคกล้าธรรม ทำให้พรรคมีเสียงถึง 31 ที่นั่ง ส่วน พรรคไทยสร้างไทย มี ส.ส. 3 คนแยกมาร่วมรัฐบาล แม้คุณหญิงสุดารัตน์ จะยืนยันไม่เข้าร่วมอย่างเป็นทางการ การย้ายพรรคโค้งสุดท้ายยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับศึกเลือกตั้งปี 2569 ถูกมองว่าเป็น “จุดรีเซ็ตการเมืองไทย” เพราะนอกจากจะเลือกตั้ง ส.ส. พร้อมกันทั่วประเทศแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่มีการออกเสียงประชามติ 2 เรื่องสำคัญ ซึ่งจะกำหนดทั้งกติกาการเมืองและทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในระยะยาว
พรรคประชาชน ต้องพิสูจน์ว่าฐานคะแนนจากคนรุ่นใหม่และเมืองใหญ่ยังเหนียวแน่นหรือไม่ หลังชนะเลือกตั้งท้องถิ่นหลายพื้นที่ในปี 2568 ขณะที่ พรรคเพื่อไทย อยู่ในช่วงฟื้นพรรคหลังเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ และเปิดตัวผู้สมัครกว่า 200 คน ตั้งเป้าเก้าอี้ ส.ส. อย่างน้อย 200 ที่นั่ง ส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นหลังแกนนำย้ายพรรค ขณะที่ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งถูกปลดจากรัฐบาลกลางปี แต่กลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยในเดือนกันยายน แสดงศักยภาพ “คุมสมดุลกลางสภา” และพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งทันที
การเมืองไทยในช่วง 120 วันสุดท้ายก่อนยุบสภา จึงเต็มไปด้วยแรงสั่นสะเทือนจากทั้งในและนอกสภา ไม่ว่าจะเป็นการซักฟอก การเคลื่อนไหวของพรรคใหญ่ และการตีความคำถามประชามติที่อาจกลายเป็นจุดพลิกของประเทศ “รัฐบาลเฉพาะกิจของอนุทิน” จึงเปรียบเหมือน “สะพานชั่วคราว” ที่ต้องรับน้ำหนักทั้งการบริหารเสถียรภาพ ควบคุมการเมือง และสื่อสารสาธารณะ หากสะพานนี้ไม่หักกลางทาง การเลือกตั้งปลายมีนาคมอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองรูปแบบใหม่ที่คนไทยกำลังจับตา
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
