"ดร.แดน" มองอนาคตเด็กไทยต้องพัฒนา เริ่มที่ครอบครัว
TNN ช่อง16
11 มกราคม 2568 ( 10:00 )
11
เมื่อวันที่ 11 ม.ค.2568 ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันการสร้างชาติ นักวิชาการอาวุโสมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่อยากเห็นอนาคตของชาติได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกๆด้าน ทั้งกาย ใจ จิต ความคิดทุกมิติ ซึ่งตนนึกถึงสุภาษิตไทยที่บอกว่า "รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี"เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะวัฒนธรรมสังคมไทยยอมรับว่าการตีลูกมาจากความรัก มีประโยชน์ต่อเด็ก เป็นวัฒนธรรมที่อยู่กับสังคมไทยมายาวนาน โดยปัจจุบันสภาเห็นชอบออกพ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์(ฉบับที่..พ.ศ… )หรือ กฎหมายห้ามตีเด็กแล้ว ซึ่งเป็นแนวคิดจากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรป อเมริกาใต้รวม 56 ประเทศที่มีกฎหมายห้ามตีเด็กเช่นกัน โดยเข้ามามีผลอย่างมากต่อสังคมประเทศไทย ประกอบกับความหวังดีที่สภาไม่อยากเห็นการใช้วิธีตีมาลงโทษเด็กจนรุนแรงเกินไป จึงถูกเสนอเข้าเป็นกฎหมายตั้งแต่ปี 2565 และผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว เมื่อปลายปี 2567 โดยกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสียงส่วนน้อยชนะ ที่ยืนยันว่า ไม่ต้องระบุคำว่า ไม่ให้ตีลงในกฎหมาย แต่ระบุว่า ไม่ทารุณกรรม ไม่ทำร้ายร่างกาย จิตใจ จึงทำให้พ่อแม่สามารถตีลูกเพื่อสั่งสอนด้วยความรักได้อยู่ แต่ต้องไม่ใช่การทารุณหรือทำร้ายร่างกาย หากเป็นการทำร้ายร่างกายเด็กก็ซึ่งมีกฎหมายอื่นรองรับอยู่แล้ว ทั้งนี้ ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวถึงจุดยืนในเรื่องนี้ว่า การตีเด็กยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ แต่ต้องตีด้วยความรัก มาจากเหตุและผล ไม่ได้ตีด้วยความโกรธหรืออยากทำร้ายร่างกาย ต้องไม่ใช่การใช้ความรุนแรง ซึ่งการตีคือเครื่องมือที่สำคัญของพ่อแม่ที่จะสอนให้เด็กเรียนรู้ในสิ่งต่างๆเนื่องจากยังไม่มีวุฒิภาวะ หากไม่ยอมให้พ่อแม่ตีเพื่อสอนลูกเลยจะทำให้เด็กเล็กเรียนรู้ยาก ยืนยันว่า ต้องไม่ตีอย่างทารุณกรรม ไม่ด้อยค่าอย่างไร้ศักดิ์ศรีความเป็นคนของเด็ก ต้องไม่ตีด้วยอารมณ์โกรธ ซึ่งก่อนตีต้องอธิบายเหตุผลว่าตีเพราะรักลูก ให้เด็กรู้ว่าสิ่งที่ทำ เป็นสิ่งที่ผิด เพื่อให้เด็กแยกแยะว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนชั่ว สิ่งที่ไม่เหมาะสม เพราะเด็กยังเล็กเกินไปที่จะรู้ผิดชอบชั่วดีเหตุผลต่างๆ ต้องใช้วิธีการตีให้รู้ว่าเจ็บทางกายและจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีอีก "จุดยืนของผมมีผลการวิจัยมาอ้างอิงอย่างเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่ตีขลุม ไม่ลืมองค์ประกอบรอบข้าง อย่าลำเอียงในการใช้งานวิจัย ผลเชิงลบอาจเกิดมาร่วมด้วยถ้าตีแบบไม่รอบคอบ หากตีอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ ตีรูปแบบไม่สื่อสารว่าทำด้วยความรักจะมีผลเชิงลบกับเด็กอย่างแน่นอน ถ้าลูกรู้ว่าพ่อแม่ตีเพราะรักพฤติกรรมในอนาคตของเด็กจะดี วันนี้เด็กในสมัยใหม่ค่อนข้างมีปัญหาเพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่ใช้เวลาผิด ให้ลูกอยู่กับ social media ตั้งแต่เล็ก นอกจากนั้นพ่อแม่ยังไม่มีวุฒิภาวะในการเลี้ยงลูก จึงทำให้เด็กโตขึ้นมาแบบผิดๆและเด็กรุ่นใหม่มีปัญหา" ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวอย่างไรก็ตาม ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ย้ำว่า การตีไม่ใช่เป็นเครื่องมือเดียวในการอบรมลูกให้ดี แต่องค์ประกอบอื่นๆที่ดีไม่ควรละเลย ต้องทำควบคู่กันให้หมด การแนะนำด้วยความหวังดีการสอนในสิ่งต่างๆ การตียังจำเป็นที่จะต้องมีและใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น ไม่ไช่ตีพร่ำเพรื่อ ซึ่งการตีจะทำให้เด็กจดจำ ส่งสัญญาณว่าเป็นเรื่องที่ผิด ให้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทำและไม่ควรทำ ให้เด็กมีวินัย เป็นการปลูกฝังให้เด็กใช้เหตุผล ซึ่งตนเห็นด้วยที่ไม่ควรตีเด็กแรงเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดความเจ็บปวดทางจิตใจในเด็กได้ ไม่ควรทำร้ายจิตใจหรือด้อยค่าเด็ก"การตีเป็นเครื่องมือให้กับพ่อแม่ แต่การตี ก็เป็นดาบสองคม ตีแบบผิดวิธีจะส่งผลในทางลบ ตีแบบถูกวิธีจะเป็นทางบวก ดังนั้นอย่าเหมาเข่ง การตีด้วยความรักและหวังดีต่อลูกเพื่อปกป้องเด็กจากสิ่งเลวร้ายที่จะทำร้ายลูกเราเอง ปกป้องจากอันตรายในวันนี้และอนาคตโดยการสอนให้อยู่ในความเข้าใจและขอบเขตในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ควรปล่อยเครื่องมือนี้ไป แม้จะเป็นเครื่องมือที่โบราณที่ใช้มาตลอดว่ารักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี จึงเสนอให้สอนอบรมพ่อแม่ในสังคมให้เข้าใจ สอนครูในโรงเรียนซึ่งถือเป็นพ่อแม่คนที่สอง ซึ่งที่ผ่านมาเด็กก็ถูกครูตีจนได้ดีเพราะครูรัก แต่ต้องตีให้เหมาะสม ไม่รุนแรง จึงอยากให้มีการอบรมพ่อแม่ ผู้ปกครองเพื่อเตรียมตัวในการสร้างลูกให้มีคุณภาพมีค่านิยมที่ถูกต้อง อบรมเยาวชนคนรุ่นใหม่ให้เข้าใจเรื่องการตีว่ามาจากความหวังดีของพ่อแม่ เพื่อไม่ให้อ้างสิทธิ์เท่านั้น หากสอนพ่อแม่ให้อบรมลูกอย่างดีท้ายที่สุดอาจจะไม่ต้องตีลูกเลยด้วยซ้ำ แต่หากออกกฎหมายมาถึงขั้นห้ามตีเด็กเลยนั้น มองว่าอาจจะเป็นผลร้ายต่อประเทศได้ในอนาคต อยากเห็นเด็กเยาวชนเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพและมีอนาคต อะไรที่เป็นกระแสนิยมที่ล้ำเส้นไป ก็อยากให้ถอยมาถึงจุดที่มีความพอดี" ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ย้ำที่มาข่าว:TNN