เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
บล.ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index แกว่งตัว Sideways Down ในกรอบ 1,480-1,500 จุด ยังคงถูกกดดันจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบ ทั้งความกังวลทิศทางอัตราดอกเบี้ยของ FED ที่อาจยังปรับขึ้นต่อเนื่องและทรงตัวในระดับสูงยาวนาน ซึ่งจะกดดันให้เศรษฐกิจชะลอลงในระยะถัดไป ส่งผลให้ Bond Yield และ Dollar Index ยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องและกดดันสินทรัพย์เสี่ยงให้ยังเผชิญแรงขายจากการถูก De-rate valuation ลงเพราะ Yield Gap ที่แคบ
ส่วนปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตามวันนี้คือการประชุมกนง.ซึ่งคาดคณะกรรมการจะเสียงแตก เราคาดว่าจะคงดอกเบี้ยที่ 2.25% จากเงินเฟ้อและเศรษฐกิจที่ยังต่ำกว่าเป้าหมายและศักยภาพ แต่คาดกนง.จะเปิดช่องในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตหากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปรับขึ้นในระยะถัดไป เราประเมินกลุ่มที่คาดว่าจะยังแกว่งตัวได้แข็งแรงกว่าตลาดในระยะนี้ยังคงเป็น พลังงานต้น-กลางน้ำ การแพทย์ สื่อสารฯ ธนาคาร จากแนวโน้มกำไร 3Q23 ที่แข็งแรง ขณะที่กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคที่มีโอกาสฟื้นตัวได้ระยะถัดไปจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทยอยออกมาใน 4Q23-2024 ทั้งการช่วยเหลือค่าครองชีพ พักหนี้เกษตรกร การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่มีโมเมนตัมกำไร 3Q23 แข็งแกร่ง//ถือลงทุนต่อเนื่องหลังและพิจารณาสะสมเพิ่มหากดัชนีปรับลงหา Low เดิม 1,460+- จุด
หุ้นเด่นเดือน ก.ย. : AOT, CPALL, CPN, NSL, TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : ADVANC
• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus 250.97 บาท
• เราประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน 3Q23 จะยังทยอยเติบโตได้แข็งแกร่งต่อเนื่องทั้ง q-q และ y-y หนุนจากการแข่งขันในภาพรวมที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ ARPU คาดยังทยอยขยับขึ้นและเป็นเอื้อต่อการทำไรมากขึ้น
• Consensus คาดกำไรปี 2023 ที่ 2.8 หมื่นลบ. +10% y-y และโตต่อเนื่องแตะ 3.1 หมื่นลบ. +9% y-y เรามองว่าราคาจะเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าตลาดจากธุรกิจที่ผันผวนต่ำและกระทบจำกัดจากความกังวลดอกเบี้ยสูงและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
• แนวรับ 220-218//212 บาท แนวต้าน 228-230//240 บาท
**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินดัชนีฯ ยังมีโอกาสปรับตัวลง ปัจจัยลบรุมล้อมทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยต่างประเทศ ยังกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจ และการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ขณะที่ Dollar ปรับตัวสูงขึ้นสะท้อนความกลัว(ดอกเบี้ยสูง)ของนักลงทุน (ล่าสุด Dollar Index 106.2 จุด)
• ราคาน้ำมัน ยังเป็นตัวช่วยหนุนตลาดจากหุ้นผู้ผลิตน้ำมัน PTTEP, PTT (ล่าสุด Brent $94.3 เหรียญ)
• ครม.ผ่านมาตรการพักหนี้เกษตรกรรายย่อย 2.7 ล้านราย เงินต้นไม่เกิน 3 แสนบาท จากนี้ ต้องติดตามดูว่า จะมีมาตรการช่วยเหลือ(ประชาชน) ออกมาอีกหรือไม่ และจะกระทบต่อกำไรของหุ้นกลุ่มการเงินมากน้อยขนาดไหน
• เงินบาทยังอ่อนค่า และมีโอกาสที่จะไปแตะ 37 บาท/ดอลลาร์ จึงคาดว่าการประชุม กนง. วันนี้ ธปท. มีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25%
• นักลงทุนต่างชาติยังเทขายหุ้นไทยต่อ วานนี้ (26) Net Sell 788 ล้านบาท ยังไร้สัญญาณของแรงซื้อกลับ
• ตัวเลขเศรษฐกิจวันนี้ คือ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนสหรัฐฯ และกำไรภาคอุตสาหกรรมของจีน
Strategy
• การที่ดัชนีฯ หลุดระดับ 1500 จุดลงมา ทำให้เข้ามาอยู่ในโซน 1480-1490 จุด ยังแนะนำให้ขายออกให้มากกว่าซื้อเข้า หรือเก็งกำไรช่วงสั้นๆ โดยเน้นปัจจัยเฉพาะตัวไว้ก่อน
• เราดึงเงินสดกลับขึ้นมาเป็น 60% เนื่องจากตลาดยังมีความเสี่ยงขาลงอยู่ โดยปรับหุ้นในพอร์ตจากหุ้นที่อิงทิศทางตลาด (ขาขึ้น) ทั้ง 4 ตัว มาเป็นหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวแทน
• พอร์ตหุ้นวันนี้ เรานำหุ้น SCB, BA*, GULF, TRUE* ออก และนำ ITC, BH, ICHI เข้ามาในพอร์ต พอร์ตหุ้นประกอบไปด้วย SPRC(10%), ITC(10%), BH(10%), ICHI(10%)
Strategy Stock Pick
ITC : (เป้าเชิงกลยุทธ์ 22.30 บาท) “ ตัวเลขส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงดีขึ้น ”
• เหตุผลหลักของของหุ้นตัวนี้ คือ ตัวเลขส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย เดือน ส.ค. ขึ้นมาอยู่ที่ $220 ล้านเหรียญ (-11% YoY, +4% MoM) คือฟื้นตัว เป็นเดือนที่ 4 แล้ว
• ปัญหา inventory destocking ของลูกค้าในต่างประเทศ(อาหารสัตว์เลี้ยง) คลี่คลายลง เราประเมินแนวโน้ม 2H23E จะปรับตัวดีขึ้น HoH ตามการทยอยกลับมาเติมสต็อกของลูกค้าและอานิสงส์ราคาทูน่าเริ่มอ่อนตัว
Technical: ICHI, ITC
**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินแนวรับดัชนี SET ที่ 1,480 – 1,487 (F/PE 16.5 – 16.6X) แนวต้าน 1,505 – 1,510 ถูกกดดันจาก Fund Flow ไหลออกหลัง USD.แข็งค่าและ US .Bond Yield ปรับขึ้น แนะนำทยอยซื้อบริเวณแนวรับ เช่น AOT,ERW,TU,AAI,ITC,BH,BDMS,SCGP ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า
KCE* (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 51.50 บาท) KCE มีปัจจัยหนุนจากยอดส่งออกไทยเดือน ส.ค.66 ที่พลิกกลับมาขยายตัวเป็นเดือนแรก (ในรอบ 10 เดือน) โดยกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กฯ กึ่งตัวนำทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทปัจจุบันที่มีทิศทางอ่อนค่า ทางด้านผู้บริหารคาดยอดขายในช่วง 2H66 ดีขึ้น HoH (แต่ยังลดลง YoY) จากคำสั่งซื้อลูกค้ากลุ่มยานยนต์ในยุโรป-สหรัฐที่เริ่มกลับมาในเดือน ส.ค.หลังสต๊อกสินค้าเก่าเริ่มหมด ส่วนในปี 67 คาดเห็นยอดขายในสกุลเงิน USD ขยายตัว 5%YoY ตามอุตสาหกรรม PCB และยานยนต์ที่ฟื้นตัว ช่วยเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตและหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นขยับขึ้นจากกรอบปีนี้ที่ 22-24% ได้ ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 66 อยู่ที่ 1.73 พันล้านบาท ลดลง -25%YoY ก่อนจะฟื้นตัวในปี 67 ที่ 2.33 พันล้านบาท +34%YoY
TU* (ซื้อ / ราคาเป้าหมายปี66 15.50 บาท/ปี67 17.80 บาท) กำไรสุทธิงวด 1H66 อยู่ที่ 2,050 ลบ.,-39.15%YoY เผชิญปัจจัยลบจากคู่ค้ายังมี Inventory ที่สูงจึงชะลอการออเดอร์สินค้าออกไป ขณะเดียวกันราคาปลาทูน่าขึ้นไปอยู่ในโซนสูงบริเวณ 2,000 usd/ton กดดันมาร์จิ้น อย่างไรก็ตามเราคาดว่าการดำเนินงานจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และคาด 3Q66 นี้แม้จะยังหดตัว YoY จากฐานสูงในปีก่อน แต่ QoQ จะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนจากลูกค้ากลับมาสต็อกสินค้าอีกครั้ง ด้านราคาปลาทูน่าเห็นการปรับลดลงมาโดย เดือน ส.ค.66 อยู่ที่ 1,800 usd/ton ปัจจุบัน เราคาดกำไรสุทธิปี66 และ ปี67 ของ TU ที่ 5,193 ลบ.(-27.25%YoY) และ 7,065ลบ.(+36.05%YoY)