รีเซต

AIMCเผยผลสำรวจมุมมองนักลงทุนสถาบันไทยลงทุนESGเป็นแนวทางหลัก

AIMCเผยผลสำรวจมุมมองนักลงทุนสถาบันไทยลงทุนESGเป็นแนวทางหลัก
ทันหุ้น
5 กันยายน 2568 ( 15:54 )
12

สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (Association of Investment Management Companies – AIMC) เปิดผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้ลงทุนสถาบันไทยต่อมุมมองภาวะเศรษฐกิจ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย ปัจจัยหลักที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน และมุมมองการจัดพอร์ตลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

โดยในภาพรวมมีมุมมองปานกลางค่อนไปในทางบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ในขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มทรงตัวจากผลกระทบทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยต่างเชื่อมั่นว่าการลงทุนแบบยั่งยืน (ESG Investing) ที่ได้ให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจะยังคงสร้างผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนได้ในระยะยาว

นางชวินดา หาญรัตนกูล  ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุนได้เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของสมาชิกบริษัทจัดการลงทุนในช่วงเดือนที่ผ่านมาต่อมุมมองการลงทุนในระยะเวลาหนึ่งปีข้างหน้า “ทีมผู้จัดการกองทุนไทยเกือบทั้งหมดมีมุมมองปานกลางค่อนไปทางบวกต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะจะฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปซึ่งถือเป็นมุมมองในเชิงบวกกว่าการสำรวจครั้งก่อน

โดยปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญสุดคือทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีแนวโน้มถูกปรับลดลง โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศสหรัฐอเมริกา (Fed Fund Rate) ซึ่งคาดว่าจะสามารถทยอยลดระดับลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยคาดการณ์ว่าจะปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.75 -4 ณ สิ้นปี 2568  และประเมินว่าจะทยอยปรับลงได้อีกจนอยู่ ณ ระดับร้อยละ 3 – 3.25 ณ สิ้นปี 2569

อย่างไรก็ตาม ทีมผู้จัดการกองทุนยังคงมีความกังวลต่อปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาสงครามยืดเยื้อและความขัดแย้งต่อเนื่องในหลายภูมิภาค รวมถึงผลกระทบจากสงครามการค้าซึ่งมีผลต่อเนื่องทำให้เงินเฟ้ออาจไม่สามารถลดระดับลงได้เท่าที่ควรซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยรวมได้

สำหรับการจัดน้ำหนักการลงทุนทั่วโลกนั้น กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Markets) ได้รับความสนใจกว่า (Overweight) กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)  ตราสารทุนมีความน่าสนใจกว่าสินทรัพย์อื่นๆ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Large Cap) ถึงปานกลางของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว นำโดยสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ญี่ปุ่นรวมถึงประเทศที่โดดเด่นอย่างเวียดนาม

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจสูง ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มบริการสื่อสาร และกลุ่มสาธารณูปโภค

ในส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ มีมุมมองเป็นกลางค่อนไปในทางบวก ให้ความสนใจในตราสารหนี้ระยะปานกลางโดยเฉพาะของสหรัฐอเมริกา ยุโรปและญี่ปุ่นมากกว่าตราสารหนี้ประเทศตลาดเกิดใหม่ สำหรับสินทรัพย์ทางเลือกยังคงมีน้ำหนักเป็นกลางโดยทองคำได้รับความสนใจมากที่สุด ขณะที่ REITs Infrastructure Funds และน้ำมันได้รับความสนใจอยู่บ้าง

สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป ทิศทางของอัตราดอกเบี้ย เสถียรภาพของการเมือง และเม็ดเงินลงทุนทางตรงจากต่างประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม ทีมผู้จัดการกองทุนบางส่วนยังคาดการณ์ว่ากนง.น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากครั้งล่าสุดเมื่อ 13 สิงหาคม 2568 อีกครั้งหนึ่งเพื่อช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตได้ดีขึ้น  แต่จะปรับลดเพียงเล็กน้อยมาอยู่ ณ ระดับร้อยละ 1.25-1.5 ณ สิ้นปี 2568 รวมทั้งอาจมีการปรับลดลงต่อเนื่องจนอยู่ที่ระดับร้อยละ 1-1.25  ณ สิ้นปี 2569

ซึ่งเป็นไปเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา สินค้าควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจในภาพรวมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนและเต็มศักยภาพ โดยรวมผู้จัดการกองทุนเห็นพ้องว่าในขณะที่ไทยกำลังประสบปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งเศรษฐกิจ ประชากร หนี้ครัวเรือนและการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยเหนี่ยวรั้งไม่ได้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างเท่าที่ควร เสถียรภาพทางการเมืองนั่นเองที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ  

อย่างไรก็ตาม สำหรับการจัดน้ำหนักการลงทุนในประเทศ (Asset Allocation) ผู้จัดการกองทุนยังคงมีมุมมองเชิงบวก (Overweightl) ต่อการลงทุนในประเทศ เน้นให้น้ำหนักการลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้เป็นสำคัญโดยเฉพาะตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนระยะปานกลางถึงยาว

ส่วนการลงทุนในตราสารทุนจะให้น้ำหนักเป็นกลาง(Neutral) ให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นขนาดปานกลางถึงใหญ่ (Medium to Large Cap) เป็นหลัก กลุ่มอุตสาหกรรมในดวงใจคือกลุ่มสถาบันการเงิน กลุ่มบริการทางการแพทย์ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มการค้าพาณิชย์ กลุ่มท่องเที่ยวสันทนาการ และกลุ่มธนาคารตามลำดับ

ด้านการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกมีมุมมองเป็นกลาง โดยเน้นการลงทุนในทองคำและทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานเป็นสำคัญ

นอกจากนั้น ในการสำรวจรูปแบบการลงทุนที่ผู้จัดการกองทุนให้ความสนใจในระยะเวลาหนึ่งปีข้างหน้า ทีมผู้จัดการกองทุนยังคงให้ความสำคัญต่อการลงทุนในรูปแบบความยั่งยืน (ESG Investing) เป็นสำคัญ

สำหรับกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) ที่ได้ออกไปในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานั้น เชื่อว่าผลการดำเนินงานในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้าจะมีแนวโน้มที่ไม่แตกต่างอย่างมีนัยยะสำคัญเมื่อเทียบกับกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ แต่ในระยะยาวยังคงมีความมั่นใจว่าจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนแบบทั่วไป (Outperform) ได้เล็กน้อยโดยเปรียบเทียบ

ในส่วนการลงทุนในหุ้นยั่งยืนนั้นกลุ่มอุตสาหกรรมในดวงใจมีความใกล้เคียงกับการจัดสรรการลงทุนในหุ้นไทยทั่วไปดังที่กล่าวมา และผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ยังคาดหวังที่จะออกกองทุนที่เน้นลงทุนเพื่อสร้างความยั่งยืนในต่างประเทศรูปแบบ Feeder Fund - ESG FIF เพื่อนำเสนอให้แก่ผู้ลงทุนไทยให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย” นางชวินดากล่าว

อนึ่ง การสำรวจมุมมองผู้ลงทุนสถาบันไทยโดย AIMC นั้น มุ่งหวังให้ผลสำรวจนี้เป็นแนวทาง หลักคิดด้านการออมและลงทุน และช่วยให้ภาพรวมในการจัดแบ่งเงินลงทุน เพื่อที่ภาคธุรกิจ ผู้ลงทุน และประชาชนทั่วไปจะได้ประโยชน์ และสามารถสร้างความยั่งยืนผ่านเงินลงทุนของกิจการหรือของตนเองได้ต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง