รีเซต

เศรษฐกิจไทย “โตช้า-แข่งขันยาก” ท้าทายรัฐบาลใหม่

เศรษฐกิจไทย “โตช้า-แข่งขันยาก” ท้าทายรัฐบาลใหม่
TNN ช่อง16
22 กันยายน 2568 ( 12:53 )
4

เห็นหน้าค่าตา ครม.ชุดใหม่แล้ว หลังจากนี้คงต้องรอการแถลงนโยบายของรัฐบาล คาดว่าเร็วสุดสัปดาห์หน้า หลังจากแถลงนโยบายรัฐบาลชุดใหม่จะสมารถเดินหน้าการทำงาน

งานด้านเศรษฐกิจที่เร่งด่วนและสำคัญสุดคงหนีไม่พ้น เรื่องดูแลปากท้องประชาชน ดูแลภาคธุรกิจที่กำลังมีปัญหา รวมถึงกระตุ้นให้เศรษฐกิจขขยายตัวมากขึ้น 

ในการดูแลในการกระตุ้นต้องใช้เงิน ถ้าดูแหล่งเงิน ที่นำมากระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็วคงต้องมางบกลาง ซึ่งเป็นอำนาจของนายกฯ เสนอโครงการผ่านครม. และนำมาใช้ได้ทันที เพราะไม่ต้องออกกฎหมาย ไม่ต้องจัดสรร หรือเกลี่ยงบมาจากส่วนอื่น

 ถ้าดูคร่าวๆ งบประมาณในส่วนงบกลางที่นายกฯ จะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ มีวงเงินรวมกันกว่า 1 แสนล้านบาท แบ่งเป็น งบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ที่มีวงเงินเหลืออยู่ 26,000 ล้านบาท ตรงนี้กระทรวงการคลัง ระบุแล้วว่าจะไว้ใช้สำหรับโครงการคนละครึ่ง 

นอกจากนี้ยังมีงบกลางฯ ที่อยู่ในงบประมาณประจำปี 2569 ที่จะเริ่มเบิกจ่ายได้ในวันที่ 1 ต.ค.  โดยแบ่งเป็น งบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเร่งด่วนวงเงิน 98,000 ล้านบาท และงบกลางรายการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินรวมกว่า 25,000 ล้านบาท 

ในส่วนงบกลางฉุกเฉิน คงนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ทั้งหมด เพราะเงินส่วนนี้เป็นการเตรียมไว้เพื่อรองรับกรณีภัยพิบัติ น้ำท่วม น้ำแล้ง โดยกันวงเงินไว้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท

ดังนั้นคงต้องรอดูว่าหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบาย จะโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ นอกหนือจากคนละครึ่งหรือไม่ 

การเข้ามาทำงานของรัฐบาลชุดใหม่เป็นความหวังว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้น 

ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ทรุดต่ำลงมาก จากสมุดปกขาว (White Paper) หรือ “ร่างพิมพ์เขียวการทำงานร่วมกันระหว่างภาคเอกชนและภาครัฐ REINVENT THAILAND A Platform for Policy Co-Creation and Execution พลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทยพลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย” ของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่เผยแพร่เมื่อช่วงต้นเดือนก.ย. ทำให้เห็นภาพของของเศรษฐกิจไทยยังไม่ดีนัก 

ในช่วงปี 2537-2539 เติบโตถึงร้อยละ 7.3

ปี 2543-2550 ลดลงมาเหลือร้อยละ 5.3

ปี 2553-2562 ลดลงอีกเหลือร้อยละ 3.7

ปี 2564-2567 เหลือเพียงร้อยละ 2.2

 การที่ตัวเลขจีพีพีลดต่ำลงเรื่อย ๆ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในการปรับตัวของระบบเศรษฐกิจไทย  โดยปัจจุบันการค้าโลกกำลังถูกพลิกโฉมครั้งสำคัญด้วยภาษีของสหรัฐ มาตรการกีดกัดทางการค้าของสหรัฐฯ ไม่เพียงเป็นความท้าทายที่หนักหน่วง แต่ยังซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างของไทยที่สะสมมานาน 

การรับมือกับแรงกระแทกทางการค้าต้องอาศัยทั้งมาตรการรองรับผลกระทบระยะสั้น และการปรับตัวยกเครื่องโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว หากไม่ปรับเปลี่ยนอย่างจริงจังเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวลดลงไปอีก

ภาพของเศรษฐกิจไทยปัจจุบันคือ “โตช้า แข่งขันไม่ได้ และเหลื่อมล้ำ”

-เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความอ่อนแอจากภายในอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยปรับลดลงต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการลงทุนของภาคเอกชนที่ขยายตัวต่ำมาต่อเนื่อง โดยปรับลดลงจากร้อยละ 6 ในช่วงปี 2542-2551 เหลือเพียงร้อยละ 2 ในช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 รวมถึงความสามารถในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยที่ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน โดยในช่วงปี 2561-2567 ไทยมีสัดส่วน net FDI ต่อ global FDI ที่ร้อยละ 0.6 ต่ำกว่าเวียดนามและอินโดนีเซียที่อยู่ร้อยละ 1.2 และร้อยละ 1.6 ตามลำดับ

- ถ้าดูการลงทนุจากต่างประเทศ (FDI) ของไทย ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบนำเข้าสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์ทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศจำกัด ปัญหาด้านผลิตภาพคือหัวใจของความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอย ธุรกิจไทยจำนวนมากแข่งขันไม่ได้เพราะผลิตภาพต่ำ โดยพบว่าอัตราการเติบโตของผลิตภาพแรงงานลดจากเฉลี่ยเกือบร้อยละ 3 ในสองทศวรรษก่อน เหลือประมาณ ร้อยละ 2 ในทศวรรษล่าสุด

-ภาคส่งออกโตช้ากว่าเพื่อนบ้าน ความสามารถในการผลิตและส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงวัดโดยดัชนีความซับซ้อน (economic complexity) แย่ลงเมื่อเทียบกับนานาประเทศในทศวรรษที่ผ่านมา ส่งผลให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในหลายหมวดสินค้า เช่น ปิโตรเคมี สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ยานยนต์ และเครื่องจักร ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น

- สำหรับ SMEs ไทย ซึ่งควรเป็นฐานเศรษฐกิจกลับมีสัดส่วนต่อ GDP เพียงร้อยละ 35 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 55  ของประเทศพัฒนาแล้ว รวมทั้งผลิตภาพของ SMEs ทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการถดถอยลงในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ช่องว่างด้านผลิตภาพระหว่างบริษัทรายใหญ่และรายเล็กห่างขึ้นในภาคการผลิตและบริการเกือบทุกสาขา ขณะที่ภาคเกษตรแทบไม่ปรับตัวตลอด 20 ปี โดยเกษตรกรที่ปลูกพืชหลักขาดทุนบ่อยตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา

-เศรษฐกิจเผชิญความไม่สมดุลและการกระจุกตัวเพิ่มขึ้น บริษัทขนาดใหญ่เพียงร้อยละ 1 ของบริษัททั้งหมดมีบทบาทขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2567 มากกว่าครึ่ง และบริษัทขนาดใหญ่สุดร้อยละ 5 ครองส่วนแบ่งรายได้ราว ร้อยละ 85 ของภาคธุรกิจทั้งหมด

ส่วน ความเหลื่อมล้ำในระดับครัวเรือนยังรุนแรง โดยครัวเรือนไทยกลุ่มรายได้สูงสุด ครอบครองรายได้ร้อยละ 48 ของประเทศ ขณะที่กลุ่มรายได้ต่ำสุดอยู่ที่ร้อยละ 6 สะท้อนช่องว่างระหว่างครัวเรือนกลุ่มรายได้สูงสุดและกลุ่มรายได้ต่ำสุดถึง 8 เท่า

-ภาระหนี้สินตอกย้ำความเปราะบาง คนไทยกว่า 25 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของประชากรไทยมีหนี้ในระบบ มูลค่าหนี้เฉลี่ยต่อคนสูงถึง 540,000 บาท  และประมาณร้อยละ 38 เป็นหนี้เพื่อการบริโภคที่มีภาระผ่อนชำระสูงและไม่ก่อรายได้ กลุ่มรายได้น้อยมีภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) สูงกว่ากลุ่มรายได้สูง 3 เท่าตัว พบว่ามีจำนวนบัญชีที่กำลังมีปัญหาหนี้เรื้อรังและกลายเป็นหนี้เรื้อรังกว่า 1.8 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดภาระหนี้ถึง 75,000 ล้านบาท สิ่งที่ทำให้ประชาชนและ SMEs มีปัญหาหนี้นอกระบบ เพราะไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ ดังนั้นคนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงกับการติดกับดักรายได้ต่ำถาวร

เมื่อมองไปข้างหน้า ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ข้างนอกท้าทาย ข้างในอ่อนแอ เศรษฐกิจไทยที่มีอาการ 'โตช้า แข่งขันไม่ได้ และเหลื่อมล้า' มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นหากไม่เร่งแก้ไขปัญหาที่ต้นตอ โดยพบต้นตอที่เป็น ประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้างดังนี้

ภาคธุรกิจ : “ขาดพลวัตและนวัตกรรม” ธุรกิจรายใหม่เกิดขึ้นน้อยลง บริษัทอายุน้อยกว่า 5 ปี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการขยายตัวของรายได้ภาคธุรกิจโดยรวมมีส่วนแบ่งตลาดลดลง ส่วน SMEs เผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ทั้งจากสินค้านาเข้าราคาถูกที่ ไม่ได้มาตรฐาน และอำนาจต่อรองของธุรกิจขนาดใหญ่ 

นอกจากนี้ “เศรษฐกิจนอกระบบของไทยมีขนาดใหญ่ ธุรกิจไทยประมาณร้อยละ 78 ของธุรกิจทั้งหมดอยู่นอกระบบ” โดยธุรกิจและบุคคลธรรมดาที่ยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มมีจานวนเพียง 7 แสนกว่าราย จากจำนวนธุรกิจกว่า 3 ล้านกว่าราย ขณะที่แรงงานกว่าร้อยละ 50 เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระและแรงงานภาคเกษตรซึ่งอยู่นอกระบบ โดยผู้ที่เสียภาษีเงินได้ฯ มีสัดส่วนเพียง ร้อยละ 10 ของกำลังแรงงานทั้งหมด สะท้อนว่าประโยชน์จากการอยู่ในระบบไม่คุ้มกับต้นทุนที่ต้องจ่าย

ภาคประชาชน   : คุณภาพแรงงานไทยไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคใหม่ แม้การลงทุนด้านการศึกษาประมาณ 8 แสนล้านบาทต่อปี สัดส่วนร้อยละ 5 ของ GDP ใกล้เคียงกับ OECD แต่คุณภาพลดลงอย่างต่อเนื่อง คะแนน PISA (มาตรฐานวัดคุณภาพการศึกษาสากล) ลดลงต่อเนื่องจนอยู่ระดับต่ำสุดในทุกวิชาในช่วงกว่าสองทศวรรษและต่ำกว่าเพื่อนบ้าน ส่วนคะแนน ONET (มาตรฐานวัดคุณภาพการศึกษาของไทย) ลดลง ยังพบความเหลื่อมล้าทางการศึกษายังสูง นักเรียนในกรุงเทพฯ ทำคะแนนสูงกว่าจังหวัดอื่นในทุกวิชา ขณะที่การพัฒนาทักษะตลอดชีวิตยังไม่เข้มแข็ง แรงงานไม่สามารถ upskill หรือ reskill ทักษะใหม่ อีกทั้งสมองไหลทำให้คนเก่งและคนรุ่นใหม่เลือกที่จะย้ายไปต่างประเทศ ขณะที่ระบบดึงดูด talent จากต่างประเทศยังไม่มีกำลังพอ

ภาครัฐ  : การเมืองมีความไม่แน่นอนสูง ระบบราชการปรับตัวช้า เป็นคอขวดสำคัญต่อการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่มีพลัง ประสิทธิภาพภาครัฐทั้งในด้านกรอบการบริหารและกฎหมายธุรกิจในระยะหลังมีอันดับแย่ลงต่อเนื่อง กฎระเบียบมีจำนวนมากซ้ำซ้อน และล้าสมัย และคอร์รัปชันฝังรากลึกในระบบเศรษฐกิจไทย 

นโยบายเศรษฐกิจส่วนใหญ่เน้นการอุดหนุนแบบไม่มีเงื่อนไขและหวังผลระยะสั้น เช่น มาตรการเงินโอน และการดูแลราคาสินค้า โดยคิดเป็น 1 ใน 5 ของงบประมาณด้านเศรษฐกิจในปี 2567 ซึ่งนอกจากจะสร้างความเคยชินแล้วยังบิดเบือนแรงจูงใจในการพัฒนาศักยภาพ นอกจากนี้การเมืองไทยขาดเสถียรภาพ ทำให้นโยบายอุตสาหกรรมและการค้าขาดทิศทางที่ชัดเจน

ภาคการเงิน  : ไม่สนับสนุนการสร้างพลวัตทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อีกทั้งมีส่วนที่พึ่งพาหนี้นอกระบบซึ่งดอกเบี้ยสูง จึงเป็นข้อจากัดต่อการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนใหม่ 

ขณะที่การปล่อยกู้ของธนาคารส่วนใหญ่พึ่งพาหลักประกัน การปล่อยสินเชื่อแก่ SMEs และผู้ประกอบการขนาดเล็กมีต้นทุนสูงทั้งจากการตรวจสอบข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์และต้นทุนความเสี่ยงที่สูงกว่าลูกค้ารายใหญ่โดยเปรียบเทียบ จึงทำให้ SMEs ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้เต็มที่ 

ส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในการปิดช่องว่างของระบบการเงิน ด้านระบบนิเวศของตลาดทุนสำหรับการลงทุนเสี่ยง เช่น venture capital และ crowdfunding ยังไม่พัฒนาเพียงพอ ไม่เอื้อต่อการสร้างธุรกิจใหม่และนวัตกรรม

ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเกี่ยวกับโครงสร้าง มี 2 เรื่องต้องดำเนินการ คือ 

 “หนี้นอกระบบ “ ต้องแก้ด้วยการปรับดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกค้า แทนการใช้เพดานดอกเบี้ยเดียว จะช่วยให้ลูกหนี้เสี่ยงสูงบางกลุ่มสามารถเข้ามาอยู่ในระบบได้ โดยยังได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าหนี้นอกระบบ รวมถึงการสร้างข้อมูลเครดิตและระบบประเมินใหม่ มาพัฒนาระบบคัดกรองลูกหนี้  โดยมีทดลองใน Sandbox  และติดตามผลใกล้ชิด ซึ่งหากได้ผล ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีแผนนำไปใช้กับสินเชื่อ SMEs โดยให้ธุรกิจใหญ่ช่วยเปิดเผยข้อมูลของ supply chain  ขณะที่ภาครัฐก็หนุนด้วยมาตรการจูงใจ 

อีกเรื่องคือ “เพิ่มขีดความสามารถธุรกิจไทยด้วย Greenly Made by Thai (GMBT)”  เกิดจากอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนของไทยที่เคยเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจ กำลังสูญเสียความเป็นฐานการผลิตสำคัญในอาเซียน โดยแนวทางแก้ไข คือการสร้างมาตรฐานใหม่ ผลักดันผู้ผลิตในซัพพลายเชนเข้าสู่การรับรอง GMBT เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้า ใช้เทคโนโลยีใหม่ ร่วมมือกับผู้ผลิตรายใหญ่ และก้าวสู่การเป็น OEM สำหรับรถยนต์พลังงานทางเลือก รวมถึงตลาดอะไหล่ รวมถึงการขยายตลาดส่งออกใหม่ สนับสนุนผู้ผลิตชิ้นส่วนให้ปรับตัวไปผลิตชิ้นส่วนสำหรับธุรกิจใหม่ ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศและสร้าง supply chain collaboration

ภาครัฐ ควรเข้ามาสนับสนุนด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและแต้มต่อในการจัดซื้อจัดจ้างแก่ผู้ใช้วัตถุดิบในประเทศและมีนวัตกรรม กระตุ้นกำลังซื้อ ขณะที่ภาคการเงินปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ธุรกิจที่ได้รับ GMBT รวมถึง สนับสนุนสตาร์ทอัพ วิจัย และนวัตกรรม โดยรัฐช่วยค้ำประกันและสนับสนุนผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษี

ในสมุดปกขาวของกกร. มีการเสนอแนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจในระยะสั้น ประกอบด้วย

ป้องกันสินค้าทะลักเข้ามาในไทย : หากควบคุมไม่มีประสิทธิภาพ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะรั่วไหลไปมาก แนวทางคือเข้มงวดการตรวจสอบมาตรฐานสินค้า เร่งรัดสอบสวนสินค้าทุ่มตลาด ทบทวนภาษีนำเข้าสินค้าราคาถูก และบังคับให้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ขายสินค้าในไทยต้องมีสำนักงานเพื่อตรวจสอบและเสียภาษีอย่างเป็นธรรม

การปรับปรุงกฎแหล่งกำเนิดสินค้า : เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์และลดความเสี่ยงที่ผู้ส่งออกไทยจะถูกเก็บภาษีเกินจริง โดยต้องเพิ่มความเข้มงวดในการใช้กฎ ปรับระบบออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าให้รวดเร็ว ลดภาระต้นทุน และช่วยให้ผู้ประกอบการได้สิทธิประโยชน์สูงสุด

ด้านการตลาด ต้องเร่งขยายตลาดใหม่โดยเฉพาะผ่านการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) : เพื่อเป็นทางเลือกทดแทนตลาดสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระจายสินค้าไทยไปยังตลาดอื่นและลดการพึ่งพาตลาดหลักเพียงไม่กี่แห่ง

การทบทวนสิทธิประโยชน์การลงทุน : โดยเน้นส่งเสริมการลงทุนร่วมทุน (Joint Venture) ที่สร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจไทย เช่น การสร้างห่วงโซ่อุปทาน การจ้างงานในประเทศ และการถ่ายทอดเทคโนโลยี พร้อมกับปรับปรุงระบบติดตามผลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

มาตรการทางการเงิน ช่วยเหลือธุรกิจบรรเทาผลกระทบเฉพาะกลุ่ม : ได้แก่ ผู้ส่งออก ผู้ผลิต และแรงงาน โดยใช้วิธีเสริมสภาพคล่อง เช่น ลดภาระหนี้ ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ ลดหย่อนภาษีชั่วคราว รวมถึงสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจใหญ่ช่วยเอสเอ็มอี เช่น การจ่ายเงินเครดิตเทอมเร็วขึ้น และอาจมีมาตรการเร่งคืนภาษีเพื่อลดภาระทางการเงิน

การเพิ่มความสามารถของสถาบันการเงินในการปล่อยกู้ใหม่ :  เสนอให้ตั้งตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JV AMC) เพื่อรับโอนความเสี่ยงด้านหนี้เสียออกจากธนาคาร ทำให้ระบบการเงินยังเดินต่อได้และไม่เป็นภาระต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาพรวม

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง