คำแนะนำเบื้องต้น เมื่อมือถือหาย ติดตามอย่างไร ทั้ง iOS และ Android OS

ในยุคที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การที่มือถือหายไป ไม่ว่าจะทำหล่น หาย หรือถูกขโมยไป ย่อมสร้างความกังวลใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องใหม่แล้ว ข้อมูลส่วนตัว รูปภาพ หรือแม้แต่ข้อมูลธนาคารในเครื่องก็อาจตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพได้ บทความนี้จะให้คำแนะนำเบื้องต้นและขั้นตอนการติดตามมือถือที่หายไป ทั้งบนระบบปฏิบัติการ iOS (iPhone) และ Android OS อย่างละเอียดครับ
สิ่งที่ต้องทำทันทีเมื่อรู้ว่ามือถือหาย
- ตั้งสติ: อย่าเพิ่งตกใจมากเกินไป หายใจเข้าลึกๆ และนึกย้อนดูว่าคุณวางมือถือไว้ที่ไหนครั้งสุดท้าย หรือทำหล่นที่ใดบ้าง
- โทรเข้าเครื่อง: ลองโทรเข้ามือถือของคุณจากเบอร์อื่น เพื่อดูว่าได้ยินเสียงเรียกเข้าหรือไม่ หากได้ยินเสียง แสดงว่าเครื่องอาจอยู่ใกล้ๆ
- บอกคนใกล้ชิด: แจ้งครอบครัว เพื่อน หรือคนรอบข้างให้ทราบ เผื่อมีใครช่วยคุณหา หรือเผื่อมือถือของคุณส่งข้อความแปลกๆ ออกไป
สำหรับผู้ใช้งาน iOS (iPhone, iPad)
Apple มีบริการที่เรียกว่า "Find My" (ค้นหาของฉัน) ซึ่งเป็นเครื่องมือทรงพลังในการติดตามอุปกรณ์ Apple ของเรา
คุณสมบัติที่สำคัญของ Find My:
- แสดงตำแหน่งบนแผนที่: แสดงตำแหน่งล่าสุดของอุปกรณ์
- เล่นเสียง: ทำให้ iPhone ของคุณส่งเสียงดัง แม้จะอยู่ในโหมดเงียบ เหมาะสำหรับกรณีที่ทำหายในบ้านหรือใกล้ๆ
- โหมดสูญหาย (Lost Mode): ล็อกอุปกรณ์ของคุณด้วยรหัสผ่าน แสดงข้อความพร้อมเบอร์โทรศัพท์บนหน้าจอล็อก และติดตามตำแหน่งของอุปกรณ์ได้
- ลบข้อมูล iPhone (Erase iPhone): ลบข้อมูลทั้งหมดบนเครื่องเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น (ไม่สามารถติดตามได้อีกหลังจากลบข้อมูลแล้ว)
วิธีการใช้งาน Find My:
- เข้าสู่ระบบ Find My:
- บนอุปกรณ์ Apple เครื่องอื่นของคุณ: เปิดแอป "ค้นหาของฉัน" (Find My)
- บนคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นที่ไม่ใช่ Apple: เข้าไปที่เว็บไซต์ iCloud.com/find แล้วลงชื่อเข้าใช้ด้วย Apple ID เดียวกันกับ iPhone ที่หายไป
- เลือกอุปกรณ์ที่หาย: ในหน้าจอ Find My ให้เลือก iPhone หรือ iPad ที่คุณต้องการค้นหา
- ดำเนินการตามสถานการณ์:
- ถ้าเครื่องอยู่ใกล้ๆ (ในบ้าน, ที่ทำงาน): กด "เล่นเสียง" (Play Sound)
- ถ้าเครื่องอยู่นอกพื้นที่/สงสัยโดนขโมย:
- เลือก "ทำเครื่องหมายว่าสูญหาย" (Mark As Lost): ระบบจะล็อกเครื่องทันที แสดงเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ และข้อความที่คุณต้องการให้แสดงบนหน้าจอ หากเครื่องออนไลน์ คุณจะเห็นตำแหน่งของเครื่องบนแผนที่และเครื่องจะอยู่ในโหมดประหยัดพลังงานเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ หากเครื่องออฟไลน์ ระบบจะล็อกทันทีที่เครื่องกลับมาออนไลน์
- แจ้งความ: จดบันทึก IMEI (International Mobile Equipment Identity) ของเครื่อง (ดูได้จากกล่อง iPhone หรือเช็คได้จาก Apple ID บนเว็บ iCloud) และนำไปแจ้งความกับตำรวจ เพื่อเป็นหลักฐานและใช้ในการติดตาม หากเครื่องถูกนำไปขายหรือจำนำ
- ถ้าข้อมูลสำคัญมากและไม่ต้องการให้ใครเข้าถึง: เลือก "ลบข้อมูล iPhone นี้" (Erase This iPhone) ข้อควรระวัง: เมื่อลบข้อมูลแล้ว คุณจะไม่สามารถติดตามอุปกรณ์ได้อีก
ข้อควรรู้สำหรับ iOS:
- ต้องเปิด Find My ไว้ล่วงหน้า: ฟังก์ชันนี้จะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อคุณได้เปิด "ค้นหา iPhone ของฉัน" (Find My iPhone) ไว้ในเครื่องก่อนที่มันจะหายไป
- ต้องเปิด Location Services: เพื่อให้เครื่องสามารถส่งตำแหน่งกลับมาได้
- ทำงานแม้เครื่องออฟไลน์: ใน iOS เวอร์ชันใหม่ๆ (ตั้งแต่ iOS 15 ขึ้นไป) iPhone สามารถส่งตำแหน่งได้แม้เครื่องจะปิดอยู่ หรือแบตเตอรี่หมดก็ตาม โดยใช้เครือข่าย Find My ของอุปกรณ์ Apple อื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง
สำหรับผู้ใช้งาน Android OS
Google มีบริการที่เรียกว่า "Find My Device" (ค้นหาอุปกรณ์ของฉัน) ซึ่งทำงานคล้ายกับ Find My ของ Apple
คุณสมบัติที่สำคัญของ Find My Device:
- ระบุตำแหน่ง: แสดงตำแหน่งล่าสุดของอุปกรณ์บนแผนที่
- เล่นเสียง: ทำให้โทรศัพท์ส่งเสียงดังนาน 5 นาที แม้จะตั้งค่าเงียบไว้
- ล็อกอุปกรณ์: ล็อกอุปกรณ์ของคุณด้วย PIN, รูปแบบ หรือรหัสผ่าน และเพิ่มข้อความหรือเบอร์โทรศัพท์ลงในหน้าจอล็อก
- ล้างข้อมูลอุปกรณ์: ลบข้อมูลทั้งหมดในโทรศัพท์ (ไม่สามารถติดตามได้อีกหลังจากลบข้อมูลแล้ว)
วิธีการใช้งาน Find My Device:
- เข้าสู่ระบบ Find My Device:
- บนอุปกรณ์ Android เครื่องอื่นของคุณ: เปิดแอป "ค้นหาอุปกรณ์ของฉัน" (Find My Device) ที่ดาวน์โหลดมาจาก Google Play Store
- บนคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น: เข้าไปที่เว็บไซต์ android.com/find แล้วลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google เดียวกันกับโทรศัพท์ที่หายไป
- เลือกอุปกรณ์ที่หาย: เลือกโทรศัพท์ที่คุณต้องการค้นหา
- ดำเนินการตามสถานการณ์:
- ถ้าเครื่องอยู่ใกล้ๆ (ในบ้าน, ที่ทำงาน): กด "เล่นเสียง" (Play Sound)
- ถ้าเครื่องอยู่นอกพื้นที่/สงสัยโดนขโมย:
- เลือก "รักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์" (Secure Device): เพื่อล็อกอุปกรณ์และส่งข้อความหรือเบอร์โทรศัพท์แสดงบนหน้าจอล็อก
- แจ้งความ: จดบันทึก IMEI ของเครื่อง (ดูได้จากกล่องโทรศัพท์ หรือกด *#06# ในเครื่องก่อนหาย) และนำไปแจ้งความกับตำรวจ
- ถ้าข้อมูลสำคัญมากและไม่ต้องการให้ใครเข้าถึง: เลือก "ล้างข้อมูลอุปกรณ์" (Erase Device) ข้อควรระวัง: เมื่อลบข้อมูลแล้ว คุณจะไม่สามารถติดตามอุปกรณ์ได้อีก
ข้อควรรู้สำหรับ Android:
- ต้องเปิด Find My Device ไว้ล่วงหน้า: ฟังก์ชันนี้จะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อคุณได้เปิด "ค้นหาอุปกรณ์ของฉัน" และ "บริการตำแหน่ง" (Location Services) ไว้ในเครื่อง
- ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต: โทรศัพท์ต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือข้อมูลมือถือเพื่อให้ส่งตำแหน่งได้ (ยกเว้น Android บางรุ่นที่มีฟีเจอร์ "Find My Device network" ที่สามารถระบุตำแหน่งแบบออฟไลน์ได้คล้าย Apple)
- เปิด Location History ของ Google Account: จะช่วยให้ Google เก็บประวัติตำแหน่งที่คุณเคยไปได้
สิ่งที่ควรทำเพิ่มเติม (ไม่ว่าจะเป็น iOS หรือ Android)
- ติดต่อผู้ให้บริการเครือข่าย: แจ้งผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของคุณ (เช่น AIS, dtac, TrueMove H) เพื่อระงับสัญญาณซิมการ์ด ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นนำไปใช้งานหรือเข้าถึงข้อมูลในเบอร์โทรศัพท์ของคุณ
- เปลี่ยนรหัสผ่าน: รีบเปลี่ยนรหัสผ่านของบัญชีออนไลน์ที่สำคัญทั้งหมด เช่น Google Account, Apple ID, Facebook, Line, อีเมล, แอปธนาคาร, และโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่คุณล็อกอินไว้บนมือถือที่หายไป
- แจ้งความกับตำรวจ: นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด หากคุณสงสัยว่าถูกขโมยหรือทำหายในที่สาธารณะ การแจ้งความจะช่วยให้คุณได้รับหลักฐานในการดำเนินการกับบริษัทประกัน (หากมีประกัน) หรือช่วยให้ตำรวจติดตามคืนได้ง่ายขึ้น (โดยให้ IMEI ของเครื่อง)
การป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไขเสมอครับ ควรถ่ายรูปหรือจด IMEI ของมือถือไว้ และติดตั้งแอปพลิเคชันหรือเปิดฟังก์ชันติดตามอุปกรณ์ไว้ล่วงหน้าเสมอ จะช่วยลดความเสียหายและความกังวลใจได้มากหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นครับ
Photo Credit : AI Generated