จีน เปิดตัวห้องทดลองที่ทั้งใหญ่และลึกในระดับโลก ชื่อว่า The China Jinping Underground Laboratory - II (CJPL-II) หรือ “ห้องปฏิบัติการใต้ดินจินผิง 2” เพื่อไขปริศนาเกี่ยวกับ “สสารมืด” (Dark Matter) โดยเฉพาะ CJPL-II เป็นห้องทดลองใต้ดิน ที่ถูกอัปเกรดมาจากห้องทดลอง CJPL ตั้งอยู่ในเทือกเขาจินผิง ของมณฑลเสฉวน โดยก่อนหน้ามันใช้สำหรับวิจัยเกี่ยวกับฟิสิกส์นิวเตริโน องค์ประกอบพลังงานที่อยู่ในทุกสรรพสิ่งของจักรวาลเป้าหมายสำคัญของห้องทดลอง CJPL-II มีไว้สำหรับตรวจจับอนุภาคของสสารมืด สสารที่มนุษย์เรามองไม่เห็น ซึ่งเชื่อว่าเป็นส่วนประกอบมากกว่า 80% ของสสารในจักรวาลทั้งหมด และเชื่อว่ามันมีคุณสมบัติที่สามารถทะลุผ่านสสารอื่น ๆ ได้ รวมไปถึงยังไม่เกิดปฏิกิริยากับแสง ห้องทดลองนี้ อยู่ลึกลงไปจากพื้นดิน 2,400 เมตร ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 330,000 ลูกบาศก์เมตร ด้วยความลึกขนาดนี้ ทำให้ภายในไม่ได้รับผลกระทบจากรังสีคอสมิกและเสียงต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อการวิจัย อีกทั้งยังมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ทำให้สามารถสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วยซึ่งตอนนี้ตัวห้องได้ติดตั้ง Particle and Astrophysical Xenon Experiments (PandaX) หรือเครื่องที่ใช้ธาตุซีนอนในการตรวจจับอนุภาคสสารมืด เมื่ออนุภาคเหล่านี้ชนกับอะตอมซีนอน เซ็นเซอร์จะรับแสงวูบวาบ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับนักวิทยาศาสตร์ และอีกเครื่อง คือ China Dark Matter Experiment (CDEX) เครื่องตรวจจับเจอร์เมเนียมความไวสูง ที่บันทึกสัญญาณไฟฟ้าเมื่ออนุภาคสสารมืดมีปฏิสัมพันธ์กับมัน ซึ่งการรวมกันของการทำงานทั้ง 2 นี้ ช่วยเพิ่มโอกาสในการจับอนุภาคสสารมืดที่เข้าใจยาก อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสสารมืดยังคงเป็นสสารที่ “ยังไม่เคยถูกค้นพบ” มันถูกคิดว่ามีอยู่จริงตั้งแต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว โดยมีทฤษฎีหลายอย่างรองรับ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางดาราศาสตร์ ที่เชื่อว่าเกิดจากมวลบางอย่างที่เรามองไม่เห็น และไม่สามารถคำนวณด้วยความเข้าใจได้ทั้งนี้การทดสอบเกี่ยวกับสสารมืด เป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก เพราะยังไม่มีอุปกรณ์ใดที่ยืนยันว่าสามารถใช้ตรวจจับสสารมืดได้ รวมไปถึงตัวอุปกรณ์เองยังจำเป็นต้องถูกพัฒนาและทดสอบไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะหากเรามีพื้นที่จำกัด แต่นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เชื่อว่า ห้องทดลองที่ใหญ่และลึกที่สุดของโลกนี้ อาจจะทำให้ข้อถกเถียงเรื่องสสารมืดยุติลงได้ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับการศึกษาในห้องปฏิบัติการนี้ ได้รับการบันทึกไว้ในวารสาร Nature ฉบับวันที่ 22 มกราคม 2024แหล่งที่มา nature.com