Gen X-Y หนี้ท่วม! สัญญาณเตือนเศรษฐกิจ ค่าครองชีพสูง-รายได้ต่ำ ซ้ำเติมวิกฤต
สถานการณ์หนี้เสียบัตรเครดิตของไทยในไตรมาสแรกปี 2567 จากข้อมูลของเครดิตบูโร ประเทศไทย ชี้ให้เห็นถึงความน่ากังวลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของคนวัยทำงานโดยเฉพาะกลุ่ม Gen X (อายุ 41-55 ปี) และ Gen Y (อายุ 25-40 ปี)
บทความนี้จะวิเคราะห์สถานการณ์หนี้เสียบัตรเครดิตในกลุ่มดังกล่าว รวมถึงผลกระทบที่อาจมีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย พร้อมวิเคราะห์สาเหตุและแนวทางในการสร้างวินัยทางการเงิน และการบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ เพื่อรับมือกับปัญหาหนี้เสียที่อาจรุนแรงขึ้นในอนาคต
หนี้เสีย Gen X-Y พุ่งสูง คุกคามวัยแรงงาน
จากข้อมูลของเครดิตบูโรไตรมาส 1/2567 โดย นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) พบว่ายอดหนี้บัตรเครดิตที่มีความเสี่ยงจะกลายเป็นหนี้เสีย (Special Mention: SM) มีจำนวนสูงถึง 1.9 แสนบัตร คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยกว่า 69% ของจำนวนบัตร SM ที่เปิดใช้มาแล้ว 2-4 ปี เป็นของกลุ่ม Gen Y ซึ่งมีอายุระหว่าง 25-40 ปี ขณะที่อีก 24% เป็นของ Gen X ที่มีอายุ 41-55 ปี สัดส่วนยังคงสูงสำหรับบัตรเครดิตที่เปิดใช้งานมา 4-6 ปี โดย Gen Y มีสัดส่วน 67% และ Gen X 27% ของจำนวนหนี้ SM ทั้งหมด
โดยภาพรวมแล้ว Gen Y และ Gen X เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้ SM บัตรเครดิตสูงที่สุด โดยกลุ่ม Gen Y ถือครองหนี้ SM สูงถึง 8 หมื่นบัตร คิดเป็น 42% ของบัตร SM ทั้งหมด 1.9 แสนบัตร แถมยอดหนี้ SM โดยรวมยังเพิ่มขึ้นถึง 32.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 20.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงของหนี้ที่มีความเสี่ยง
ปัจจัยที่ส่งผลให้หนี้เสียพุ่งสูงขึ้น ได้แก่ การปรับเพิ่มยอดผ่อนชำระขั้นต่ำจาก 5% เป็น 8% ในต้นปี 2567, ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น, และรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อของกลุ่มวัยทำงานอย่าง Gen X-Y เป็นหลัก
ดังนั้น สถานการณ์หนี้ในวัยแรงงานสำคัญจึงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้กลายเป็นปัญหาหนักในอนาคต
ผลกระทบเศรษฐกิจวงกว้างจากหนี้เสียวัยทำงาน
การที่กลุ่มวัยทำงานอย่าง Gen X-Y กำลังประสบปัญหาภาระหนี้สูง ความเสี่ยงจะกลายเป็นหนี้เสียมีมากขึ้น ไม่เพียงส่งผลเสียต่อความเป็นอยู่ของประชาชนกลุ่มใหญ่ของประเทศเท่านั้น แต่ยังสร้างความเปราะบางให้กับภาพรวมเศรษฐกิจไทยด้วย กล่าวคือ เมื่อคน Gen X-Y ต้องเอาเงินส่วนมากไปชำระหนี้ ก็จะมีเงินเหลือใช้จ่ายอย่างอื่นน้อยลง ซึ่งจะลดกำลังซื้อและการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ กระทบธุรกิจการค้าและบริการ จนอาจชะลอการลงทุนไปด้วย
หนี้เสียบัตรเครดิตที่เพิ่มสูง ยังเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของสถาบันการเงิน
หากไม่สามารถบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อได้ดีพอ ก็อาจขาดสภาพคล่องหรือมีหนี้ด้อยคุณภาพมากเกินไป ซึ่งจะกระทบเสถียรภาพของระบบการเงินในประเทศโดยรวม อีกทั้งปัญหาหนี้เสียมักจะเล่นงานผู้มีรายได้น้อยมากที่สุด ยิ่งขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจให้กว้างมากขึ้น ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศในระยะยาวได้
การแก้ปัญหาหนี้เสียในกลุ่มวัยทำงานจึงเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ที่ควรได้รับการขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยเหลือและป้องกันไม่ให้ปัญหาหนี้เสียบานปลายจนเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวและการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคต
สาเหตุและแนวทางแก้ไขพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิต
พฤติกรรมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของคนรุ่นใหม่ที่ฟุ่มเฟือย ขาดวินัยทางการเงิน จัดเป็นสาเหตุสำคัญของการเป็นหนี้บัตรเครดิตเกินตัว ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์และค่านิยมที่เน้นความสะดวกสบาย การได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ แม้ว่ารายได้จะไม่สูงมากนักก็ตาม โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y ที่เข้าถึงบัตรเครดิตได้ง่ายขึ้น มีค่าเฉลี่ยการถือบัตรต่อคนเพิ่มขึ้นจาก 2 ใบในปี 2560 เป็น 3 ใบในปี 2565
อย่างไรก็ดี งานวิจัยของ TDRI พบว่าสาเหตุของการก่อหนี้ของคนรุ่นใหม่ ยังเกี่ยวข้องกับความจำเป็นในการใช้ชีวิต เช่น ค่าเล่าเรียน ค่าใช้จ่ายสร้างครอบครัว ฯลฯ ซึ่งไม่สอดคล้องกับรายได้ที่มี รวมถึงความรู้ความเข้าใจทางการเงินที่ไม่ดีพอ การวางแผนการเงินที่ไม่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนทัศนคติต่อการเป็นหนี้ที่เห็นเป็นเรื่องธรรมดาในสังคม ประกอบกับการตลาดของสถาบันการเงินที่มุ่งกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต
การแก้ไขปัญหาพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตที่ทำให้เกิดหนี้เสียจึงควรเริ่มจากการให้ความรู้และเสริมทักษะการบริหารจัดการด้านการเงินส่วนบุคคล โดยความร่วมมือของสถาบันการเงินและภาครัฐที่ต้องร่วมมือกันให้ความรู้ที่ถูกต้องตั้งแต่ระดับเยาวชน รวมถึงปลูกฝังค่านิยมการใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ใช้จ่ายอย่างมีสติและความรับผิดชอบ หากทำได้ ก็จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ระบบการเงินและเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
แนวโน้มหนี้เสียและการบริหารความเสี่ยงของธนาคาร
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ล่าช้าของไทย เป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือน ส่งผลให้หนี้เสียและความเสี่ยงในระบบการเงินเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต
จากข้อมูลของเครดิตบูโร ประเทศไทย พบว่า ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 หนี้บัตรเครดิตที่เป็น NPLs มีมูลค่ารวม 6.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนหนี้ที่มีแนวโน้มจะกลายเป็น NPLs (SM) มีมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท โตสูงถึง 32.4% และ 20.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้าตามลำดับ
จากข้อมูลของ NESDC สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า GDP ไทย ปี 2565 ขยายตัวเพียง 2.6% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ 3.5-4.0% และยังไม่ฟื้นกลับไปถึงระดับก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 ในปี 2562 ที่โต 4.2% TDRI ยังชี้ว่าหนี้ครัวเรือนไทยโตเร็วมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งที่เศรษฐกิจยังซบเซา ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงินในประเทศในระยะยาว
เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงจากหนี้เสียที่พุ่งสูงขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ได้ออกมาตรการสำคัญหลายประการ ทั้งการกำกับให้สถาบันการเงินประเมินความเสี่ยงของลูกหนี้และสินเชื่ออย่างเข้มงวด, การเพิ่มเงินกันสำรองสำหรับหนี้เสีย, การปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพ, การบริหารจัดการหนี้ NPLs ด้วยการขายให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMCs) รวมถึงการให้ความรู้เรื่องการใช้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบแก่ลูกค้า
หากเศรษฐกิจไทยยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วเท่าที่ควร ภาระหนี้จะยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญในระบบการเงิน ซึ่งจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการอย่างระมัดระวังต่อไป เพื่อลดผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวม และช่วยให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้
บทสรุป
ปัญหาหนี้เสียบัตรเครดิตในกลุ่ม Gen X และ Gen Y ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นสัญญาณเตือนต่อสุขภาพการเงินของแรงงานสำคัญของประเทศ และเป็นความท้าทายต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า หากปล่อยให้ปัญหาลุกลาม ผลกระทบจะขยายวงกว้างไม่เพียงแค่ระดับครัวเรือน หากแต่รวมถึงระบบเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม
การแก้ไขปัญหาหนี้เสียบัตรเครดิตจึงควรเป็นความร่วมมือของหลายภาคส่วน ตั้งแต่การสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้สินเชื่อให้แก่ประชาชน, การส่งเสริมวินัยทางการเงินตั้งแต่วัยเด็ก, การกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อให้รัดกุมจากภาครัฐ, การจัดการหนี้เสียและปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างเหมาะสมโดยสถาบันการเงิน ไปจนถึงการออกนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและรายได้ครัวเรือนให้ฟื้นตัวได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาหนี้ในระยะสั้น ควรทำควบคู่ไปกับการวางรากฐานระบบการเงินที่แข็งแกร่งในระยะยาว เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตหนี้เสียเกิดขึ้นซ้ำรอย และส่งผลเสียหายต่อประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศอีกในอนาคต
แหล่งที่มา
- - ข้อมูลสถิติหนี้เสียบัตรเครดิตจาก บริษัท เครดิตบูโร ประเทศไทย จำกัด
- - สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC)
- - งานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เรื่อง "หนี้ครัวเรือนไทยกับความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ"
- - ข้อมูลจากการสำรวจของศูนย์พัฒนาการธนาคารและการเงินไทย (CBTC) เกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิต
- - ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) เรื่องมาตรการบริหารความเสี่ยงสำหรับสถาบันการเงิน