ธปท.เตรียมนำบริษัทร่วมทุน AMC เชื่อมเครดิตบูโร หวังให้ลูกหนี้อก้หนี้แล้วมีประวัติดี

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวภายในงาน BAM SYMPOSIUM New Era of AMC 2025 ครั้งที่ 1 ว่า
ปัญหาโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไข ขณะนี้ คือปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทย ที่ยังอยู่ในระดับที่สูง กว่า 86% ต่อ GDP แม้จะลดลงจาก 90% แล้วก็ตาม แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สูงอยู่ และส่งผลต่อกำลังซื้อและการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศลดลง
ซึ่งในส่วนของหนี้ครัวเรือน 86% ดังกล่าว มีส่วนที่เป็นหนี้เสีย หรือ NPL เกือบ 4% และมีส่วนที่เริ่มผิดนัดชำระแต่ยังไม่เป็นหนี้เสีย หรือ SM อยู่ประมาณ 8-9% ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจัง
เนื่องจากเป็นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ GDP ของไทยในระยะต่อไปเติบโตได้ไม่สูงนัก โดย ธปท. คาดว่า เศรษฐกิจไทยใน 2568 จะโตได้เพียง 2.2% และลดลงเหลือ 1.6% เท่านั้นในปี 2569
ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างการแก้ประกาศการจัดตั้ง JV AMC หรือบริษัทร่วมทุนสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ เนื่องจากประกาศเดิมหมดอายุไปแล้วเมื่อสิ้นปี 2567 โดยคาดว่าจะสามารถออกประกาศใหม่ได้ภายใน 2-3 วันนี้ เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดตั้ง AMC ในระบบมากยิ่งขึ้น
เนื่องจาก ธปท. มองว่า AMC เป็นกลไกสำคัญ ในการช่วแก้ปัญหาหนี้เสีย และจะเข้ามามีส่วนช่วยให้ลูกหนี้ถูกการฟ้องร้องบังคับดำเนินคดีน้อยลง ช่วยแก้ปัญหาเชิงสังคม และเป็นส่วนช่วยแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้ลดลงได้อีกด้วย
โดยนายวิทัย ระบุว่า AMC ในภาพรวมของทั้งประเทศมีอยู่ที่ประมาณ 90 แห่ง ซึ่งใน 90 แห่งมีการดำเนินงานต่อเนื่องจริงๆอยู่ที่ประมาณ 45 แห่งเท่านั้น ซึ่ง AMC มีบทบาทสำคัญอย่างมาก เพราะจะสามารถลดหนี้เสียได้ ด้วยกลไกการเข้าไปซื้อหนี้
ซึ่งจะสามารถช่วยปรับโครงสร้างหรือช่วยให้ลูกหนี้ชำระหนี้ในอัตราที่ผ่อนปรนกว่าเดิมได้ และผ่อนปรนกว่าตอนที่อยู่ในสถาบันการเงิน รวมถึงช่วยลดดอกเบี้ย ไม่คิดค่าธรรมเนียม ผ่อนปรนให้ไม่ต้องชำระเต็มจำนวน 100% ซึ่งก็จะทำให้หนี้เสียกลับกลายเป็นหนี้ที่ดีได้เร็วขึ้นกว่าเดิม
นอกจากนี้ ธปท. ได้ตั้งเป้าว่า ภายหลังการเพิ่มจำนวน AMC ในระบบสถาบันการเงินได้เสร็จสิ้น จะทำให้สัดส่วนการซื้อหนี้เสียออกมาบริหารให้อยู่ในส่วนของ AMC เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% ของสัดส่วนหนี้เสียทั้งระบบ จากปัจจุบัน ที่ AMC มีการซื้อหนี้เสียออกมาบริหารราว 10% เท่านั้น
นอกจากนี้ นายวิทัย กล่าวด้วยว่า ตนเองอยากให้ บริษัทบริหารสินทรัพย์ เข้าเป็นสมาชิกบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือ เครดิตบูโร เพื่อที่จะให้ลูกหนี้ลูกหนี้ที่ได้รับการแก้ไขหนี้เสร็จสิ้นแล้ว มีประวัติที่ดี อยู่ในเครดิตบูโร ซึ่งจะทำให้ลูกหนี้สามารถขอสินเชื่อในครั้งต่อไปได้ง่ายขึ้น
และในอีก 1-2 สัปดาห์ จะมีการออกมาตรการแก้หนี้ครัวเรือน สำหรับประชาชน ที่มีหนี้เสียต่ำกว่า 100,000 บาท ออกมา โดยขณะนี้ ธปท. อยู่ระหว่างการหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย ในการจัดทำโครงการดังกล่าว และหากการเจรจาเสร็จสิ้น ก็จะสามารถเริ่มโครงการได้เลย
โดย ธปท. คาดว่าสำหรับมาตรการดังกล่าว จะสามารถช่วยซื้อหนี้เสียจากลูกหนี้ในกลุ่มแรกได้ประมาณ 2 ล้านราย จากจำนวนทั้งหมดที่มีอยู่ 4 ล้านราย สำหรับลูกที่ที่มรหนี้เสียต่ำกว่า 100,000 บาท ในระบบสถาบันการเงิน
สำหรับการซื้อหนี้เสียดังกล่าวจะใช้ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท หรือ SAM เป็น ผู้ซื้อหนี้เสียจากธนาคารพาณิชย์เอกชนออกมาบริหาร ส่วนหนี้เสียที่อยู่ในระบบของธนาคารของรัฐจะใช้ บริษัทอารี เอเอ็มซี ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างธนาคารออมสินและ บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เป็นผู้บริหาร
ส่วนหนี้เสียของลูกหนี้อีก 2 ล้านราย ซึ่งอยู่ในระบบของนอนแบงค์ ที่ไม่ได้เป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ จะมีกระบวนการแก้ไขที่ยากกว่า โดย ธปท. อยู่ระหว่างการหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มนี้เป็นลำดับต่อไป
โดย ธปท. คาดว่าในโครงการดังกล่าวจะส่งผลให้ลูกหนี้ส่วนนี้สามารถแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินได้ดีมากยิ่งขึ้น และกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ดียิ่งขึ้น โดยมาตรการนี้เป็นความพยายามในการแก้ปัญหาเฉพาะจุดที่เร่งด่วนของ ธปท.
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
