รีเซต

โลกถึงจุดเปลี่ยนแล้ว! หลังแนวปะการังล่มสลายกว่า 80% นับเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะภูมิอากาศ

โลกถึงจุดเปลี่ยนแล้ว!  หลังแนวปะการังล่มสลายกว่า 80%  นับเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะภูมิอากาศ
TNN ช่อง16
14 ตุลาคม 2568 ( 12:00 )
13

โลกกำลังเผชิญ “ความจริงใหม่” เมื่อระบบภูมิอากาศของโลกได้ก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยน (tipping point) ครั้งสำคัญเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ตัวอย่างแรกคือการล่มสลายของแนวปะการังทั่วโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์กว่า 160 คนจากทั่วโลกเตือนว่าอาจเป็นหายนะที่ “ไม่สามารถย้อนกลับได้” ในช่วงชีวิตของมนุษย์

รายงานชิ้นนี้ระบุว่า การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกอย่างต่อเนื่อง กำลังผลักดันให้เกิดคลื่นความร้อน น้ำท่วม ภัยแล้ง และไฟป่าที่รุนแรงมากขึ้น และสิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังพาระบบนิเวศสำคัญของโลก ตั้งแต่ป่าฝนแอมะซอน ไปจนถึงแผ่นน้ำแข็งขั้วโลก ออกนอกสมดุลจนเสี่ยงต่อการ “ล่มสลาย” ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วทั้งโลก

ศ.ทิม เลนตัน จากสถาบัน Global Systems Institute มหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ หนึ่งในผู้เขียนรายงาน ระบุว่า “เรากำลังเข้าใกล้จุดเปลี่ยนหลายระบบของโลกอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงโลกของเราไปตลอดกาล พร้อมผลกระทบร้ายแรงต่อมนุษย์และธรรมชาติ”

“ปะการัง” คือจุดเปลี่ยนแรกของโลก รายงานระบุว่า “แนวปะการังน้ำอุ่น” คือระบบนิเวศแรกที่พังทลายลง หลังตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 ทะเลทั่วโลกได้เข้าสู่ภาวะฟอกขาวครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีแนวปะการังมากกว่า 80% ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงเป็นประวัติการณ์ จากพื้นที่ที่เคยเต็มไปด้วยสีสันและชีวิต กลับกลายเป็นภูมิทัศน์ซีดขาวที่ถูกปกคลุมด้วยสาหร่าย

ไมค์ แบร์เร็ตต์ ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ขององค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) กล่าวในรายงานว่า “เราผลักให้แนวปะการังเกินขีดความสามารถในการฟื้นตัวแล้ว หากภาวะโลกร้อนยังเกิดขึ้นไม่หยุด แนวปะการังขนาดใหญ่ในแบบที่เรารู้จักจะสูญสิ้นไป”

แนวปะการังไม่เพียงเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลหลากชนิดเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งอาหารสำคัญของมนุษย์ ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับโลกนับล้านล้านดอลลาร์ และทำหน้าที่เป็นเกราะธรรมชาติที่ลดความรุนแรงของคลื่นพายุให้ชายฝั่ง

รายงานเตือนว่า โลกกำลังจะทะลุขีดจำกัดอุณหภูมิ 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ประชาคมโลกเคยตกลงกันไว้ และเมื่อเกินจุดนี้ไป โลกจะเสี่ยงต่อ “จุดเปลี่ยน” อีกหลายระบบ เช่น การล่มสลายของกระแสน้ำอุ่นแอตแลนติก (Atlantic Meridional Overturning Circulation – AMOC) ซึ่งเป็นเครือข่ายกระแสน้ำที่ควบคุมอุณหภูมิของโลก

หาก AMOC ล่มสลาย ผลที่ตามมาจะรุนแรงระดับโลก บางพื้นที่อาจเข้าสู่ภาวะหนาวจัด ขณะที่บางส่วนของโลกจะร้อนระอุขึ้น ฤดูมรสุมจะปั่นป่วน และระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ “ความเสี่ยงที่ระบบนี้จะล่มสลาย อาจเกิดขึ้นได้ภายในช่วงชีวิตของคนรุ่นปัจจุบัน” แบร์เร็ตต์กล่าว

“มานจานา มิลโคเรอิต” จากมหาวิทยาลัยออสโล หนึ่งในผู้จัดทำรายงาน ระบุว่า นโยบายและข้อตกลงระหว่างประเทศในปัจจุบัน ยังถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันและไม่อาจย้อนกลับได้เช่นนี้ เธอย้ำว่า วิธีที่รัฐบาลทั่วโลกเลือกดำเนินการในตอนนี้ “จะเป็นตัวกำหนดชะตาของระบบโลกไปอีกยาวนาน”

รายงานเรียกร้องให้เร่งลดมลพิษจากก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน พร้อมชี้ว่า แม้โลกจะหลีกเลี่ยงการทะลุ 1.5 องศาฯไม่ได้แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ “ต้องจำกัดไม่ให้ร้อนเกินกว่านี้ และรีบนำอุณหภูมิโลกกลับลงมาให้เร็วที่สุด”

แม้จะเต็มไปด้วยคำเตือน รายงานยังพบสัญญาณเชิงบวกบางประการ เช่น การเร่งขยายตัวของพลังงานแสงอาทิตย์ รถยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และปั๊มความร้อนทั่วโลก ซึ่งเมื่อเทคโนโลยีสะอาดเหล่านี้เข้ามาแทนที่ ระบบที่ก่อมลพิษก็มีแนวโน้มจะไม่กลับมาอีก เพราะ “สะอาดกว่า ถูกกว่า และมีประสิทธิภาพกว่า”

รายงานฉบับนี้เผยแพร่ก่อนการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (COP30) ที่ประเทศบราซิลในเดือนหน้า ซึ่งนับเป็นการประชุมสำคัญ เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ต้องเสนอเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกชุดใหม่สำหรับทศวรรษหน้า

“สถานการณ์เลวร้ายนี้ควรเป็นสัญญาณเตือนครั้งใหญ่” แบร์เร็ตต์กล่าวทิ้งท้าย “หากเราไม่ลงมืออย่างเด็ดขาดในตอนนี้ โลกอาจต้องสูญเสียทั้งป่าแอมะซอน แผ่นน้ำแข็งขั้วโลก และกระแสน้ำในมหาสมุทรที่สำคัญไปพร้อมกัน และนั่นจะเป็นหายนะที่แท้จริงต่อมนุษยชาติทั้งหมด”

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง