โควิด 2568 ไม่รุนแรงเหมือนเดิม สธ.เผยแผนรับมือเน้นอยู่ร่วมอย่างเข้าใจ

โควิดระลอกใหม่ไม่รุนแรงเท่าเดิม? เจาะแผนรับมือของ สธ.ปี 2568
สถานการณ์โควิด 19 ในประเทศไทยช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 กลับมาอยู่ในความสนใจของสาธารณชนอีกครั้ง หลังพบยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึง 65,880 รายในสัปดาห์เดียว แม้จะไม่มีความตื่นตระหนกในวงกว้างเท่าช่วงวิกฤตในอดีต แต่ตัวเลขที่ยังแตะระดับหลักหมื่นทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามว่า การระบาดรอบนี้รุนแรงแค่ไหน และระบบสาธารณสุขไทยยังพร้อมหรือไม่หากสถานการณ์ลุกลาม
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าการระบาดในรอบนี้ได้ผ่านช่วงสูงสุดไปแล้ว โดยแนวโน้มจากกองระบาดวิทยาชี้ว่า สถานการณ์เริ่มทรงตัวและมีแนวโน้มลดลง ประกอบกับจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วย ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินว่า โควิด 19 ในปี 2568 แม้จะแพร่กระจายในวงกว้าง แต่มีความรุนแรงลดลงอย่างชัดเจน
กลุ่มอายุและฤดูฝน ปัจจัยที่ยังต้องจับตา
ข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า กลุ่มอายุที่พบการติดเชื้อสูงสุดในระลอกล่าสุด คือผู้มีอายุ 30–39 ปี รองลงมาคือกลุ่ม 20–29 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ขณะที่ช่วงเวลาการระบาดในฤดูฝนทำให้การแพร่เชื้อเป็นไปได้ง่ายในพื้นที่ปิดและชุมชนเมือง
แม้จำนวนผู้ป่วยในกลุ่มเสี่ยงยังไม่สูงมาก แต่กระทรวงสาธารณสุขได้กำชับให้สถานพยาบาลทั่วประเทศเตรียมยา เวชภัณฑ์ และบุคลากรให้เพียงพอ โดยเน้นย้ำให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่ม 608 ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ ระมัดระวังการใช้ชีวิตประจำวัน และยังคงปฏิบัติตามมาตรการพื้นฐานอย่างเคร่งครัด
ยุทธศาสตร์รับมือปี 2568 ไม่ใช่แค่เรื่องยา
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า หน่วยงานในสังกัดได้เตรียมแผนรับมืออย่างเป็นระบบ โดยเน้นการดูแลผู้ป่วยตามระดับอาการ ลดความแออัดของโรงพยาบาล และส่งเสริมให้ประชาชนตรวจด้วย ATK เบื้องต้นหากมีอาการ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อในครัวเรือนหรือในที่ทำงาน
นอกจากนี้ กระทรวงยังมุ่งสื่อสารถึงประชาชนให้เข้าใจว่า โควิด 19 จะยังคงเป็นโรคที่วนเวียนอยู่กับสังคมไทยอีกระยะหนึ่ง การสร้างความตื่นตัวอย่างมีสติจึงเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดความประมาท หรือหวาดวิตกเกินกว่าเหตุ
ควบคู่การเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่
ในช่วงเดียวกัน สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ก็ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กอายุ 5–9 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่พบการติดเชื้อสูงที่สุด ขณะที่อัตราการเสียชีวิตมักพบในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว คล้ายกับโควิด 19
กระทรวงสาธารณสุขจึงเดินหน้าแผนการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในปีงบประมาณ 2568 จากเดิม 4.5 ล้านโดส ขยายเป็น 6 ล้านโดส เพื่อครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงและลดอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิต โดยเน้นกระจายวัคซีนผ่านเครือข่ายสถานพยาบาลระดับตำบลและอำเภอ
อยู่ร่วมกับโรคอย่างเข้าใจและยืดหยุ่น
เมื่อการระบาดของโควิด 19 เปลี่ยนผ่านจากโรคระบาดรุนแรงไปสู่โรคติดเชื้อประจำถิ่นที่มีความเสี่ยงต่อกลุ่มเฉพาะ การรับมือในปี 2568 จึงไม่ได้มุ่งเน้นที่การควบคุมเข้มงวดเช่นในอดีต แต่เปลี่ยนไปสู่แนวทางการอยู่ร่วมกับโรคอย่างมีความรู้และความพร้อม
ภาครัฐอาจยังไม่ยกเลิกการเฝ้าระวังอย่างสิ้นเชิง แต่กำลังเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารและสร้างระบบให้ประชาชนสามารถป้องกันตัวเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ และหากมีการระบาดในอนาคต ก็สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้มาตรการที่รุนแรงเหมือนในอดีตอีกต่อไป
แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังไม่เป็นศูนย์ แต่โควิด 19 ในปีนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความกลัวอีกต่อไป หากแต่เป็นบททดสอบว่า ประเทศไทยจะสามารถอยู่ร่วมกับโรคอย่างชาญฉลาดและยืดหยุ่นได้เพียงใด.
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
