ดร.ธรณ์ อธิบายชัด! กรณีตามหาผู้สูญหาย"เรือหลวงสุโขทัย"อับปาง

"ดร.ธรณ์" โพส์เฟซบุ๊กอธิบายกรณีตามหาผู้สูญหายจากเหตุ "เรือหลวงสุโขทัย" อับปางลง โดยอาศัยข้อมูลด้านสมุทรศาสตร์/วิทยาศาสตร์ทางทะเล
จากกรณี "เรือหลวงสุโขทัย" ประสบเหตุอับปาง ขณะกำลังลาดตระเวนอยู่บริเวณแบริ่ง 090 ระยะ 20 ไมล์ จากท่าเรืออำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำให้มีน้ำทะเลบางส่วนไหลเข้าระบบเครื่องไฟฟ้าผ่านท่อไอเสียข้างเรือ แล้วเครื่องไฟฟ้าดับ เครื่องจักรใหญ่หยุดทำงานเป็น เหตุให้เรือไม่สามารถควบคุมเรือได้ และทำให้น้ำเข้าภายในตัวเรืออย่างรวดเร็วจนทำให้เรือเอียงจนอัปปางลง ซึ่งตอนนี้ยังมีผู้สูญหายอยู่ 23 นาย เสียชีวิต 6 นาย
ล่าสุด ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การตามหากำลังพล เรือหลวงสุโขทัย ผ่านเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat โดยระบุว่า
"ผมอยากอธิบายกรณีตามหาผู้สูญหายจากเรือสุโขทัย โดยอาศัยข้อมูลด้านสมุทรศาสตร์/วิทยาศาสตร์ทางทะเล
ฐานข้อมูลที่ใช้มาจากแบบจำลองกระแสน้ำและทุ่นกระแสสมุทรที่กำลังลอยอยู่ในทะเลตอนนี้ ด้วยความร่วมมือของปตท.สผ./คณะประมง/สสน. ภาพซ้ายมือคือแบบจำลองกระแสน้ำในช่วงนี้ของอ่าวไทย
จุดแดง คือจุดสมมติบริเวณเรืออับปาง ต้องบอกว่าผมลงจุดเอง อาจคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง ใช้เพื่อประกอบแบบจำลองเท่านั้น จากภาพเราจะเห็นลูกศรจำนวนมาก บอกทิศทางของกระแสน้ำ
ยิ่งลูกศรซ้อนกันเยอะ หมายถึงความแรงของกระแสน้ำค่อนข้างมาก หัวลูกศรคือทิศทางที่น้ำไหลไป
สังเกตบริเวณจุดแดง จะเห็นกระแสน้ำไหลแรงลงใต้ หมายถึงการค้นหาควรเน้นในบริเวณนั้น
ซึ่งการค้นหาในปัจจุบันก็ทำสอดคล้องกับข้อมูลอยู่แล้ว เช่น ชายฝั่งชุมพร บริเวณเกาะต่างๆ เช่น เกาะเต่า ฯลฯ
ภาพที่สองหรือภาพขวามือคือเส้นทางของทุ่นกระแสสมุทร ที่ผมเคยเล่าให้เพื่อนธรณ์ฟังหลายครั้ง ทุ่นที่ลอยอยู่ในทะเลตอนนี้คือลูกที่ 5 ปล่อยลงทะเลจากแท่นผลิตปิโตรเลียม ปตท.สผ. ในบ่ายวันที่ 15 เดือนนี้
ทุ่นดังกล่าวติด GPS รายงานผ่านดาวเทียมให้ทราบเส้นทางตลอดเวลา เป็นทุ่นลอยผิวน้ำ บอกทิศทางการเคลื่อนที่
จุดสีแดงคือตำแหน่งทุ่นปัจจุบัน เห็นเส้นสีน้ำเงินคือจุดต่างๆ ที่ลอยผ่านมา
ทิศทางของทุ่นลอยไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ หมายถึงน้ำไหลเข้าอ่าวไทย
แม้ตำแหน่งทุ่นจะไม่ได้อยู่ในบริเวณเกิดเหตุหรือการค้นหา แต่ข้อมูลนี้บอกเราได้ว่า โอกาสที่ผู้สูญหายจะลอยออกไปจากอ่าวเป็นไปได้น้อย เพราะน้ำไหลเข้าอ่าว
เมื่อนำข้อมูลทั้ง 2 ส่วนมาประกอบกัน คงพอให้เพื่อนธรณ์เห็นภาพว่าทุกฝ่ายกำลังพยายามเต็มที่และสอดคล้องกับข้อมูลทางวิชาการ
อีกส่วนหนึ่งที่ทุ่นบันทึกได้คืออุณหภูมิน้ำทะเล เมื่อเทียบกับช่วงกลางปี น้ำเย็นลงชัดเจน จาก 29.5 เหลือ 28.3 องศา
การให้ความอบอุ่นอย่างรวดเร็วหากพบผู้ประสบภัยเป็นอีกเรื่องที่พอบอกได้
น่าเสียดายที่เราไม่มีทุ่นลอยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง รวมถึงยังขาดข้อมูลอื่นๆ
ผมเคยเสนอให้คณะกรรมการต่างๆ ที่ผมมีส่วนร่วมว่า ข้อมูลสมุทรศาสตร์พวกนี้สำคัญมาก
เราควรมีสถานีถาวรสำหรับตรวจวัดสมุทรศาสตร์ในด้านต่างๆ อย่างน้อย 3 สถานีในอ่าวไทย
ปัจจุบันมีเพียง 1 แห่งที่สถานีวิจัยคณะประมง ศรีราชา มันน้อยเกินไปที่จะทำงานให้แม่นยำครอบคลุมพื้นที่กว้าง
จุดหนึ่งที่เคยเสนอและเกือบผ่านคือสถานีในชายฝั่งตะวันตก (เพชรบุรี/ประจวบ) แต่อาจไม่มีงบ ทำให้เรื่องเงียบไป
ยังรวมถึงการศึกษาในรายละเอียดเพิ่มขึ้น การใช้ทุ่นกระแสสมุทรตามจุดต่างๆ ครอบคลุมพื้นที่ให้มากกว่านี้ เพื่อเพิ่มความแม่นยำของแบบจำลอง และช่วยได้ในสถานการณ์จริง
เท่าที่คณะประมง/ปตท.สผ./สสน. ทำขึ้นมาก็คงเห็นประโยชน์ชัดเจน
ไม่ใช่เฉพาะโลกร้อนหรือปัญหาผลกระทบจากมนุษย์ การศึกษาวิจัยเพื่ออนุรักษ์สัตว์น้ำและระบบนิเวศ ยังรวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ในกรณีภัยพิบัติ
งานทะเลไม่สามารถทำได้เฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่ต้องทำไปพร้อมกัน และฐานข้อมูลทะเลมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และต้องลงทุนเพื่อให้ได้มา
สุดท้าย ผมอยากส่งกำลังใจให้ทุกท่าที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะครอบครัวทหารผู้กล้า ผมยังคงหวังในปาฏิหาริย์ครับ
ขอบคุณ ดร.ธนัสพงษ์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มก. และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านในการทำงานด้านสมุทรศาสตร์ของไทยครับ"
ภาพจาก กองทัพเรือ Royal Thai Navy / Thon Thamrongnawasawat