#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ ( 3 พ.ค.67 ) กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.นราธิวาส รายงานข้อมูลจากสถานการณ์ไฟไหม้ป่า ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จำนวน 10 อำเภอ เหตุเกิด 51 ครั้ง ความเสียหายประมาณ 2,535 ไร่ รวมถึงพื้นที่ป่าพรุสิรินธร และป่าพรุบาเจาะไม้แก่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้เข้าร่วมปฏิบัติการดับไฟป่าอย่างเต็มกำลัง แต่ยังมีบางพื้นที่ไม่สามารถยุติสถานการณ์ได้ และบางส่วนได้ขยายพื้นที่ไฟไหม้เพิ่มขึ้น สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จ.นราธิวาส ได้ประสานกับผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ ขอรับการสนับสนุนปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง บรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า รักษาระบบนิเวศน์ในพื้นที่ป่าพรุบาเจาะ - ไม้แก่น และป่าพรุสิรินธร เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 โดยในช่วงที่ผ่านมาได้ปฏิบัติการฝนหลวงไปแล้ว จำนวน 3 วัน 6 เที่ยวบิน ระยะเวลา 14.55 ชั่วโมง ใช้สารทำฝนหลวง 10.2 ตัน มีฝนตกเล็กน้อยในพื้นที่ อ.ศรีสาคร, อ.จะแนะ และ อ.รือเสาะ ในวันนี้ ( 3 พ.ค.67 ) ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ กำหนดแผนปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่ จ.นราธิวาส โดยใช้เครื่องบินกรมฝนหลวงและการบินเกษตรขึ้นบินจากกองบินที่ 7 จ.สุราษฎร์ธานี ในเวลา 11.00 น.คาดว่าจะสามารถปฏิบัติการได้ในเวลา 13.30 น.จะทำให้มีโอกาสฝนตกในพื้นที่สูง ขณะที่เหตุไฟไหม้สวนยางและสวนปาล์มของชาวบ้านในพื้นที่ หมู่ที่ 5 ต.โฆษิต อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ล่าสุดวันนี้เจ้าหน้าที่พร้อมชาวบ้านในพื้นที่ต่างช่วยกันควบคุมเปลวเพลิง ซึ่งดำเนินการด้วยความยากลำบาก เนื่องจากในพื้นที่มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ชาวบ้านต้องช่วยกันขุดหลุมรอบสวนตัวเอง เพื่อไม่ให้ไฟลุกลามขึ้นมาอีก ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะต้องใช้น้ำในปริมาณมาก เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวแห้งแล้ง ไฟลุกไหม้จากใต้ผิวดินที่มีเศษวัชพืชสะสม รถดับเพลิงจากอบต.โฆษิต ได้ลำเลียงน้ำเข้ามาทำการดับไฟโดยรอบ เพื่อให้มีความชุ่มชื้นในชั้นผิวดิน ไฟจะได้ไม่ปะทุขึ้นมาอีก ขณะเดียวกันได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ดูแลผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางเดินหายใจด้วย เพราะสภาพอากาศร้อนและมีควันไฟปกคลุมไปทั่วพื้นที่สำหรับความเสียหาย ล่าสุดพื้นที่สวนของชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายทั้งสิ้น 514 ไร่ จำนวน 48 ราย แยกเป็นสวนยาง จำนวน 14 ราย รวม 200 ไร่, สวนปาล์ม จำนวน 29 ราย รวม 300 ไร่ และสวนแตงโม จำนวน 5 ราย รวม 14 ไร่ ส่วนในพื้นที่ อ.สุไหงโกลก คาดกว่า 1,000 ไร
อ่านต่อ >19
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ (4 พฤษภาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เปิดเผยความคืบหน้า ตามที่รัฐบาลได้เดินหน้านโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เริ่มในระยะที่ 3 จำนวน 33 จังหวัดนั้น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นระบบการเชื่อมต่อข้อมูลการบริการและการเบิกจ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท โดยเฉพาะ “หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่” ที่ สปสช. ได้ร่วมกับสภาวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อเพิ่มเติมความสะดวกในการรับบริการ ประกอบด้วย ร้านยา คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น และคลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่นข้อมูลล่าสุดมีหน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่ ใน 33 จังหวัดที่ได้สมัครขึ้นทะเบียนร่วมเป็นหน่วยบริการกับ สปสช. แล้วจำนวน 2,325 แห่ง ดังนี้ 1. คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 81 แห่ง 2. คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 84 แห่ง 3. ร้านยา จำนวน 1,452 แห่ง 4. คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น จำนวน 562 แห่ง 5. คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น จำนวน 44 แห่ง 6. คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น จำนวน 74 แห่ง และคลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น จำนวน 28 แห่ง โดยประชาชนที่อยู่ใน 33 จังหวัดที่เริ่มดำเนินการในระยะที่ 3 สามารถเข้ารับบริการโดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทได้ ไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับภาพรวมการดำเนินการเปิดรับหน่วยบริการนวัตกรรมสาธารณสุขวิถีใหม่ ตั้งแต่ระยะที่ 1 -3 รวมทั้งสิ้น 45 จังหวัดนั้น มีหน่วยบริการที่ร่วมเป็นหน่วยนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่กับ สปสช. ใน 45 จังหวัดนำร่อง 3,633 แห่งแล้ว สำหรับจำนวนการรับบริการใช้สิทธิบัตรทองที่หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่นั้น จากผลการดำเนินงานในช่วง 2 ระยะที่ผ่านมา พบว่า สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ฯ ได้ โดยจากข้อมูลในระบบเบิกจ่ายของ สปสช. ในระยะที่ 1 มีประชาชนเข้ารับบริการที่หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่จำนวน 257,984 คน เป็นจำนวน 387,932 ครั้ง ส่วนในระยะที่ 2 มีประชาชนเข้ารับบริ
อ่านต่อ >30
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สถานการณ์อากาศร้อนในเดือนเมษายนเข้าสู่เดือนพฤษภาคมของประเทศไทย พบว่าบางวันมีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส และจากการเฝ้าระวังค่าดัชนีความร้อน หรือ Heat Index ของประเทศไทย ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่รู้สึกร้อนมากกว่าอุณหภูมิอากาศจริง โดยคิดจากค่าอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ โดยแบ่งระดับความรุนแรงต่อสุขภาพเป็น 4 ระดับ คือ ระดับเฝ้าระวัง (สีเขียว) ระดับเตือนภัย (สีเหลือง) ระดับอันตราย (สีส้ม) และระดับอันตรายมาก (สีแดง) และตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ – ปัจจุบัน พบส่วนใหญ่อยู่ในระดับอันตรายมาก (สีแดง) หรือมากกว่า 52 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ส่งจะผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ทำให้เกิดเจ็บป่วยจากความร้อน โดยอาการที่พบได้บ่อยในช่วงอากาศร้อน ได้แก่ ผื่น ตะคริว ลมแดด เพลียแดด และฮีตสโตรกได้ โดยเฉพาะฮีตสโตรก ซึ่งเป็นอาการที่รุนแรงที่สุดของโรคที่เกิดจากความร้อนเนื่องจากอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้ง ผู้ที่ติดสุรา ผู้ที่มีภาวะทางจิตเวช ผู้โรคที่มีภาวะอ้วนและผู้ที่มีโรคประจำตัว ปี 2567 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากความร้อนแล้วกว่า 38 ราย พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือ ภาคกลางและภาคตะวันตก ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว และดื่มสุราเป็นประจำประชาชนควรปฏิบัติตน เพื่อป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากอากาศร้อนในช่วงนี้ ดังนี้ 1) ติดตามข่าวพยากรณ์อากาศ ค่าดัชนีความร้อน และพิจารณาเลี่ยงการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง ในช่วงที่อากาศร้อนจัด หรือดัชนีความร้อนอยู่ในระดับอันตราย 2) ดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ โดยไม่ต้องรอให้กระหายน้ำ และสังเกตสีปัสสาวะ หากมีสีเข้ม แสดงว่าร่างกายขาดน้ำ ให้ดื่มน้ำทันที 3) แม่ที่ให้นมลูกที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอวันละ 2 ลิตร หรือ 8 - 10 แก้วขึ้นไป เพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสียไป และช่วยป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ 4) งดดื่มแอลกอฮอล์ ของมึนเมา เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เช่น ชาเขียว น้ำอัดลม 5) สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี 6) ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาแก้คัดจมูก ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคจิตและจิตเวช เป็นต้น อาจส่งผลต่อการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ผู้ที่รับประทานยาดังกล่าวจึงควรหมั่นสังเกตอา
อ่านต่อ >32
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ (3 พ.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาโรงงานเก็บสารเคมีเกิดเพลิงไหม้ จ.พระนครศรีอยุธยาว่า ได้มอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าไปช่วยดูตรงนี้ เพราะหากมีการวางเพลิงเพื่อกลบหลักฐานถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง พร้อมยืนยันว่า ส่วนตัวให้ความสำคัญและจริงจังต่อการแก้ปัญหาโรงงานเก็บสารเคมี ทั้งจากการลงพื้นที่ การสั่งการ และติดตามงานจากรมว.อุตสาหกรรมด้านน.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า เบื้องต้นเชื่อว่าการเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บสารเคมีอันตราย เป็นการลอบวางเพลิงเพื่อเผาทำลายหลักฐาน ดังนั้นจึงได้กำชับอุตสาหกรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังเนื่องจากเกรงว่า ผู้ประกอบการนายทุน จะถือโอกาสนำกรณีของอำเภอภาชี ไปเป็นต้นแบบในการเผาทำลายของกลางอีกรมว.อุตสาหกรรม ระบุอีกว่าได้สั่งการให้มีการปรับการบริหารจัดการ เรื่องการกำจัดกากสารเคมีจากนี้ไปจะต้องทำเป็นระบบ ให้เข้มงวดตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง จนถึงปลายทาง ที่ผ่านกระบวนการ รีไซเคิลเรียบร้อยแล้ว และต่อจากนี้ไป กระทรวงอุตสาหกรรมจะทำงานแบบบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันทำงาน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระทบกับประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งความเป็นอยู่ สัตว์เลี้ยง พืชผลทางการเกษตร ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ดังนั้นต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด ผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ ฝ่ายความมั่นคง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะนี้ซ้ำอีกภาพจาก: ทำเนียบรัฐบาล
อ่านต่อ >51
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ ( 3 พ.ค.67 ) กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.นราธิวาส รายงานข้อมูลจากสถานการณ์ไฟไหม้ป่า ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จำนวน 10 อำเภอ เหตุเกิด 51 ครั้ง ความเสียหายประมาณ 2,535 ไร่ รวมถึงพื้นที่ป่าพรุสิรินธร และป่าพรุบาเจาะไม้แก่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้เข้าร่วมปฏิบัติการดับไฟป่าอย่างเต็มกำลัง แต่ยังมีบางพื้นที่ไม่สามารถยุติสถานการณ์ได้ และบางส่วนได้ขยายพื้นที่ไฟไหม้เพิ่มขึ้น สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จ.นราธิวาส ได้ประสานกับผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ ขอรับการสนับสนุนปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง บรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า รักษาระบบนิเวศน์ในพื้นที่ป่าพรุบาเจาะ - ไม้แก่น และป่าพรุสิรินธร เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 โดยในช่วงที่ผ่านมาได้ปฏิบัติการฝนหลวงไปแล้ว จำนวน 3 วัน 6 เที่ยวบิน ระยะเวลา 14.55 ชั่วโมง ใช้สารทำฝนหลวง 10.2 ตัน มีฝนตกเล็กน้อยในพื้นที่ อ.ศรีสาคร, อ.จะแนะ และ อ.รือเสาะ ในวันนี้ ( 3 พ.ค.67 ) ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ กำหนดแผนปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่ จ.นราธิวาส โดยใช้เครื่องบินกรมฝนหลวงและการบินเกษตรขึ้นบินจากกองบินที่ 7 จ.สุราษฎร์ธานี ในเวลา 11.00 น.คาดว่าจะสามารถปฏิบัติการได้ในเวลา 13.30 น.จะทำให้มีโอกาสฝนตกในพื้นที่สูง ขณะที่เหตุไฟไหม้สวนยางและสวนปาล์มของชาวบ้านในพื้นที่ หมู่ที่ 5 ต.โฆษิต อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ล่าสุดวันนี้เจ้าหน้าที่พร้อมชาวบ้านในพื้นที่ต่างช่วยกันควบคุมเปลวเพลิง ซึ่งดำเนินการด้วยความยากลำบาก เนื่องจากในพื้นที่มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ชาวบ้านต้องช่วยกันขุดหลุมรอบสวนตัวเอง เพื่อไม่ให้ไฟลุกลามขึ้นมาอีก ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะต้องใช้น้ำในปริมาณมาก เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวแห้งแล้ง ไฟลุกไหม้จากใต้ผิวดินที่มีเศษวัชพืชสะสม รถดับเพลิงจากอบต.โฆษิต ได้ลำเลียงน้ำเข้ามาทำการดับไฟโดยรอบ เพื่อให้มีความชุ่มชื้นในชั้นผิวดิน ไฟจะได้ไม่ปะทุขึ้นมาอีก ขณะเดียวกันได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ดูแลผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางเดินหายใจด้วย เพราะสภาพอากาศร้อนและมีควันไฟปกคลุมไปทั่วพื้นที่สำหรับความเสียหาย ล่าสุดพื้นที่สวนของชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายทั้งสิ้น 514 ไร่ จำนวน 48 ราย แยกเป็นสวนยาง จำนวน 14 ราย รวม 200 ไร่, สวนปาล์ม จำนวน 29 ราย รวม 300 ไร่ และสวนแตงโม จำนวน 5 ราย รวม 14 ไร่ ส่วนในพื้นที่ อ.สุไหงโกลก คาดกว่า 1,000 ไร
อ่านต่อ >19
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ (4 พฤษภาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เปิดเผยความคืบหน้า ตามที่รัฐบาลได้เดินหน้านโยบาย “30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว” โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2567 เริ่มในระยะที่ 3 จำนวน 33 จังหวัดนั้น สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมในส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นระบบการเชื่อมต่อข้อมูลการบริการและการเบิกจ่ายในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท โดยเฉพาะ “หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่” ที่ สปสช. ได้ร่วมกับสภาวิชาชีพด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อเพิ่มเติมความสะดวกในการรับบริการ ประกอบด้วย ร้านยา คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น และคลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่นข้อมูลล่าสุดมีหน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่ ใน 33 จังหวัดที่ได้สมัครขึ้นทะเบียนร่วมเป็นหน่วยบริการกับ สปสช. แล้วจำนวน 2,325 แห่ง ดังนี้ 1. คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 81 แห่ง 2. คลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 84 แห่ง 3. ร้านยา จำนวน 1,452 แห่ง 4. คลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น จำนวน 562 แห่ง 5. คลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น จำนวน 44 แห่ง 6. คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น จำนวน 74 แห่ง และคลินิกแพทย์แผนไทยชุมชนอบอุ่น จำนวน 28 แห่ง โดยประชาชนที่อยู่ใน 33 จังหวัดที่เริ่มดำเนินการในระยะที่ 3 สามารถเข้ารับบริการโดยใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทได้ ไม่เสียค่าใช้จ่าย สำหรับภาพรวมการดำเนินการเปิดรับหน่วยบริการนวัตกรรมสาธารณสุขวิถีใหม่ ตั้งแต่ระยะที่ 1 -3 รวมทั้งสิ้น 45 จังหวัดนั้น มีหน่วยบริการที่ร่วมเป็นหน่วยนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่กับ สปสช. ใน 45 จังหวัดนำร่อง 3,633 แห่งแล้ว สำหรับจำนวนการรับบริการใช้สิทธิบัตรทองที่หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่นั้น จากผลการดำเนินงานในช่วง 2 ระยะที่ผ่านมา พบว่า สามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ฯ ได้ โดยจากข้อมูลในระบบเบิกจ่ายของ สปสช. ในระยะที่ 1 มีประชาชนเข้ารับบริการที่หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่จำนวน 257,984 คน เป็นจำนวน 387,932 ครั้ง ส่วนในระยะที่ 2 มีประชาชนเข้ารับบริ
อ่านต่อ >30
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
นายแพทย์อรรถพล แก้วสัมฤทธิ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สถานการณ์อากาศร้อนในเดือนเมษายนเข้าสู่เดือนพฤษภาคมของประเทศไทย พบว่าบางวันมีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส และจากการเฝ้าระวังค่าดัชนีความร้อน หรือ Heat Index ของประเทศไทย ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่รู้สึกร้อนมากกว่าอุณหภูมิอากาศจริง โดยคิดจากค่าอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ โดยแบ่งระดับความรุนแรงต่อสุขภาพเป็น 4 ระดับ คือ ระดับเฝ้าระวัง (สีเขียว) ระดับเตือนภัย (สีเหลือง) ระดับอันตราย (สีส้ม) และระดับอันตรายมาก (สีแดง) และตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ – ปัจจุบัน พบส่วนใหญ่อยู่ในระดับอันตรายมาก (สีแดง) หรือมากกว่า 52 องศาเซลเซียส โดยเฉพาะภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ส่งจะผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ทำให้เกิดเจ็บป่วยจากความร้อน โดยอาการที่พบได้บ่อยในช่วงอากาศร้อน ได้แก่ ผื่น ตะคริว ลมแดด เพลียแดด และฮีตสโตรกได้ โดยเฉพาะฮีตสโตรก ซึ่งเป็นอาการที่รุนแรงที่สุดของโรคที่เกิดจากความร้อนเนื่องจากอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ผู้ที่ต้องทำงานกลางแจ้ง ผู้ที่ติดสุรา ผู้ที่มีภาวะทางจิตเวช ผู้โรคที่มีภาวะอ้วนและผู้ที่มีโรคประจำตัว ปี 2567 มีรายงานผู้เสียชีวิตจากความร้อนแล้วกว่า 38 ราย พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือ ภาคกลางและภาคตะวันตก ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว และดื่มสุราเป็นประจำประชาชนควรปฏิบัติตน เพื่อป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากอากาศร้อนในช่วงนี้ ดังนี้ 1) ติดตามข่าวพยากรณ์อากาศ ค่าดัชนีความร้อน และพิจารณาเลี่ยงการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง ในช่วงที่อากาศร้อนจัด หรือดัชนีความร้อนอยู่ในระดับอันตราย 2) ดื่มน้ำสะอาดบ่อยๆ โดยไม่ต้องรอให้กระหายน้ำ และสังเกตสีปัสสาวะ หากมีสีเข้ม แสดงว่าร่างกายขาดน้ำ ให้ดื่มน้ำทันที 3) แม่ที่ให้นมลูกที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอวันละ 2 ลิตร หรือ 8 - 10 แก้วขึ้นไป เพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสียไป และช่วยป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ 4) งดดื่มแอลกอฮอล์ ของมึนเมา เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เช่น ชาเขียว น้ำอัดลม 5) สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี 6) ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาแก้คัดจมูก ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคจิตและจิตเวช เป็นต้น อาจส่งผลต่อการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ผู้ที่รับประทานยาดังกล่าวจึงควรหมั่นสังเกตอา
อ่านต่อ >32
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ (3 พ.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาโรงงานเก็บสารเคมีเกิดเพลิงไหม้ จ.พระนครศรีอยุธยาว่า ได้มอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าไปช่วยดูตรงนี้ เพราะหากมีการวางเพลิงเพื่อกลบหลักฐานถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง พร้อมยืนยันว่า ส่วนตัวให้ความสำคัญและจริงจังต่อการแก้ปัญหาโรงงานเก็บสารเคมี ทั้งจากการลงพื้นที่ การสั่งการ และติดตามงานจากรมว.อุตสาหกรรมด้านน.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า เบื้องต้นเชื่อว่าการเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานเก็บสารเคมีอันตราย เป็นการลอบวางเพลิงเพื่อเผาทำลายหลักฐาน ดังนั้นจึงได้กำชับอุตสาหกรรมจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังเนื่องจากเกรงว่า ผู้ประกอบการนายทุน จะถือโอกาสนำกรณีของอำเภอภาชี ไปเป็นต้นแบบในการเผาทำลายของกลางอีกรมว.อุตสาหกรรม ระบุอีกว่าได้สั่งการให้มีการปรับการบริหารจัดการ เรื่องการกำจัดกากสารเคมีจากนี้ไปจะต้องทำเป็นระบบ ให้เข้มงวดตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง จนถึงปลายทาง ที่ผ่านกระบวนการ รีไซเคิลเรียบร้อยแล้ว และต่อจากนี้ไป กระทรวงอุตสาหกรรมจะทำงานแบบบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาช่วยกันทำงาน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระทบกับประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งความเป็นอยู่ สัตว์เลี้ยง พืชผลทางการเกษตร ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติ ดังนั้นต้องร่วมมือกันทั้งจังหวัด ผู้นำท้องถิ่นในพื้นที่ ฝ่ายความมั่นคง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะนี้ซ้ำอีกภาพจาก: ทำเนียบรัฐบาล
อ่านต่อ >51
#ข่าวทั่วไทย #TNN ช่อง16
วันนี้ ( 3 พ.ค.67 ) กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.นราธิวาส รายงานข้อมูลจากสถานการณ์ไฟไหม้ป่า ในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส จำนวน 10 อำเภอ เหตุเกิด 51 ครั้ง ความเสียหายประมาณ 2,535 ไร่ รวมถึงพื้นที่ป่าพรุสิรินธร และป่าพรุบาเจาะไม้แก่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้เข้าร่วมปฏิบัติการดับไฟป่าอย่างเต็มกำลัง แต่ยังมีบางพื้นที่ไม่สามารถยุติสถานการณ์ได้ และบางส่วนได้ขยายพื้นที่ไฟไหม้เพิ่มขึ้น สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ จ.นราธิวาส ได้ประสานกับผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ ขอรับการสนับสนุนปฏิบัติการฝนหลวงเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง บรรเทาปัญหาหมอกควันและไฟป่า รักษาระบบนิเวศน์ในพื้นที่ป่าพรุบาเจาะ - ไม้แก่น และป่าพรุสิรินธร เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 โดยในช่วงที่ผ่านมาได้ปฏิบัติการฝนหลวงไปแล้ว จำนวน 3 วัน 6 เที่ยวบิน ระยะเวลา 14.55 ชั่วโมง ใช้สารทำฝนหลวง 10.2 ตัน มีฝนตกเล็กน้อยในพื้นที่ อ.ศรีสาคร, อ.จะแนะ และ อ.รือเสาะ ในวันนี้ ( 3 พ.ค.67 ) ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคใต้ กำหนดแผนปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่ จ.นราธิวาส โดยใช้เครื่องบินกรมฝนหลวงและการบินเกษตรขึ้นบินจากกองบินที่ 7 จ.สุราษฎร์ธานี ในเวลา 11.00 น.คาดว่าจะสามารถปฏิบัติการได้ในเวลา 13.30 น.จะทำให้มีโอกาสฝนตกในพื้นที่สูง ขณะที่เหตุไฟไหม้สวนยางและสวนปาล์มของชาวบ้านในพื้นที่ หมู่ที่ 5 ต.โฆษิต อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ล่าสุดวันนี้เจ้าหน้าที่พร้อมชาวบ้านในพื้นที่ต่างช่วยกันควบคุมเปลวเพลิง ซึ่งดำเนินการด้วยความยากลำบาก เนื่องจากในพื้นที่มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ชาวบ้านต้องช่วยกันขุดหลุมรอบสวนตัวเอง เพื่อไม่ให้ไฟลุกลามขึ้นมาอีก ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะต้องใช้น้ำในปริมาณมาก เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวแห้งแล้ง ไฟลุกไหม้จากใต้ผิวดินที่มีเศษวัชพืชสะสม รถดับเพลิงจากอบต.โฆษิต ได้ลำเลียงน้ำเข้ามาทำการดับไฟโดยรอบ เพื่อให้มีความชุ่มชื้นในชั้นผิวดิน ไฟจะได้ไม่ปะทุขึ้นมาอีก ขณะเดียวกันได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ดูแลผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางเดินหายใจด้วย เพราะสภาพอากาศร้อนและมีควันไฟปกคลุมไปทั่วพื้นที่สำหรับความเสียหาย ล่าสุดพื้นที่สวนของชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายทั้งสิ้น 514 ไร่ จำนวน 48 ราย แยกเป็นสวนยาง จำนวน 14 ราย รวม 200 ไร่, สวนปาล์ม จำนวน 29 ราย รวม 300 ไร่ และสวนแตงโม จำนวน 5 ราย รวม 14 ไร่ ส่วนในพื้นที่ อ.สุไหงโกลก คาดกว่า 1,000 ไร
อ่านต่อ >19