สมพงษ์ ชี้ 4ทางออก ขอบิ๊กตู่ลาออก ซัดภาระปท. โวยญัตติรบ.ทำแตกแยก ไม่สร้างสรรค์
“สมพงษ์” อัด นายกฯ เป็นผู้นำที่ล้มเหลว ไร้ความสามารถบริหารประเทศ-ไม่เป็นที่ไว้วางใจของปชช.จนต้องออกมาชุมนุม พร้อมแนะทางออก 4 ข้อ ย้ำ นายกฯต้องลาออกเพราะเป็นภาระปท.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 ตุลาคม ที่รัฐสภา นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้ขึ้นอภิปรายเป็นคนแรกของฝ่ายค้าน ความว่า ก่อนอื่นตนขอเรียนว่า เมื่อได้อ่านญัตติของรัฐบาลแล้ว ตนมีความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่ว่า ญัตตินี้ เป็นญัตติที่ไม่สร้างสรรค์ เนื้อหาสาระของญัตติ มีแนวโน้มที่จะสร้างความแตกแยกร้าวฉานในสังคมไทย ให้ขยายเป็นวงกว้าง ทั่วประเทศ การตั้งญัตติเช่นนี้ รังแต่จะซ้ำเติมสถานการณ์ให้บานปลาย ไม่สามารถเป็นทางออกของสังคมไทยได้ แต่อย่างใดก็ตาม พวกเราก็ยังมีความตั้งใจที่จะใช้โอกาสการอภิปรายครั้งนี้ เพื่อเสนอทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ ตนจึงขอร้องให้ที่ประชุมแห่งนี้ ทุกฝ่าย ทุกคนต้องช่วยกันประคับประคอง ให้การอภิปรายในครั้งนี้ เป็นการถกเถียงเพื่อคลี่คลายสถานการณ์วิกฤติของประเทศ การเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการร่วมกันหาหนทางแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ เพราะมีแนวโน้มว่า การบริหารจัดการปัญหาภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะยิ่งนำพาไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น
“ไม่ว่าจะมาจากถ้อยคำ การกระทำ และมาตรการต่างๆ ที่ออกมา ล้วนแล้วแต่เป็นการราดน้ำมันลงไปในกองเพลิง ซึ่งถือเป็นการซ้ำเติม และยั่วยุให้สถานการณ์ต่างๆ ยุ่งยากมากขึ้นไปอีก สถานการณ์การชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนในช่วงเวลาที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงวันนี้ ประเด็นข้อเรียกร้องล้วนเกิดมาจากเงื่อนปมที่ผูกไว้โดยรัฐบาลชุดปัจจุบัน ที่ขาดความชอบธรรมตั้งแต่การเข้ามาสู่อำนาจ สร้างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายหลักของประเทศ เพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจของตน มากกว่าเป้าประสงค์ที่รัฐธรรมนูญควรจะเป็นนั่นคือ สิทธิ เสรีภาพ และความเป็นธรรมที่ทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้ในสังคม อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ”
นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า ความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดินตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ชี้ชัดว่า นายกฯ เป็นผู้นำที่ล้มเหลว ไร้ความสามารถ บริหารประเทศด้วยนโยบายที่ผิดพลาด เพราะเริ่มต้นการเข้าสู่อำนาจ มาอย่างไม่ชอบธรรม จากกฎกติกาที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อสืบต่ออำนาจของตน และเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องของตน เป็นหลัก ทำให้ผลงานในการบริหารประเทศของท่าน ไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน จนต้องออกมาชุมนุมเรียกร้องโดยสันติอย่างต่อเนื่อง เพื่ออนาคตของพวกเขา จนกระทั่งเกิดเหตุที่ไม่ควรจะเกิด นั่นคือ การสั่งการภายใต้ความรับผิดชอบโดยตรงของท่านนายกรัฐมนตรี ให้มีการกระทำรุนแรง สลายการชุมนุมของประชาชนผู้บริสุทธิ์เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา อีกทั้งมีผู้ชุมนุมจำนวนมาก ถูกจับกุมคุมขัง ตั้งข้อกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม
“สถานการณ์ดังที่กล่าวนี้ยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ท่ามกลางความวิตกกังวลของประชาชน และประชาคมโลก ซึ่งไม่มั่นใจว่ารัฐบาลภายใต้การนำของท่าน จะใช้มาตรการรุนแรง และเลือกปฏิบัติต่อนักเรียน นักศึกษา ประชาชน อีกหรือไม่ สิ่งที่ประเทศของเรากำลังเผชิญอยู่ขณะนี้คือ เรากำลังก้าวไม่ทันความเปลี่ยนแปลงของสังคม และการยืนกรานของท่านในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ด้วยแนวคิดอำนาจนิยม ยึดติดกับอำนาจที่ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม ใช้กลไกมาตรการของรัฐมาควบคุม คุกคามประชาชนในทิศทางที่ไม่ได้เกิดการแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วม ไม่ให้พื้นที่ ไม่เปิดโอกาสในการรับฟังเสียงของประชาชน ที่มีสิทธิในฐานะพลเมืองของชาติ เป็นแนวทางที่ยิ่งขยายความขัดแย้ง ความรุนแรง จนไม่สามารถสร้างโอกาส และทางเลือกที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาของชาติ”
นายสมพงษ์ กล่าวว่า หลายปีที่นายกรัฐมนตรีปกครองบริหารประเทศ ยิ่งทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำที่ขยายช่องว่างระหว่างประชาชนมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ปัญหาพื้นฐานด้านเศรษฐกิจก็ยิ่งดิ่งลงจนไม่สามารถคาดเดาอนาคตที่ดีกว่าเดิมได้ ปัญหาการศึกษาที่มุ่งแต่การกดหัว ใช้อำนาจกระทำต่อนักเรียน นักศึกษา ประชาชนในสถานศึกษา โดยไม่ได้เปิดโอกาสให้ครู อาจารย์ ผู้บริหารรับฟังปัญหาและความต้องการของเด็กและเยาวชนในฐานะหุ้นส่วนที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงจากระบบการศึกษา เป็นต้น จนปะทุกลายเป็นกระแสเรียกร้องให้ผู้นำรัฐบาลต้องรับฟัง เพราะเป็นไปไม่ได้ ที่จะปล่อยให้ผู้ที่มีประสบการณ์เฉพาะด้านการทหาร อย่างพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งที่มาจากความคิดและการกระทำที่เป็นเผด็จการ มาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เพราะพวกท่านไม่อาจเข้าใจว่า จะสร้างสรรค์นโยบาย ขับเคลื่อนกิจกรรมเศรษฐกิจ แก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างไร ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด พวกท่านไม่เข้าใจประชาชน และไม่เคยคิดถึงความทุกข์ของประชาชน เพราะท่านไม่ได้มาจากประชาชนอย่างแท้จริง
“แม้จะกล่าวอ้างว่าพวกตนมาจากการเลือกตั้ง ก็เป็นการเลือกตั้งที่ท่านสมคบกันตอกหลักสร้างฐานอำนาจให้แก่ตนเองและพวกพ้อง ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ออกแบบอย่างซับซ้อน ซ่อนกลไกเพื่อทำลายหลักการประชาธิปไตยที่พึงมี แค่เป้าหมายสูงสุดของพวกท่าน คือร่วมกันสืบทอดอำนาจ อย่างเบ็ดเสร็จ การที่รัฐบาลออกมาแถลงข่าว โดยอ้างว่าได้ใช้หลักการควบคุมดูแลฝูงชนตามหลักสากล แต่ไม่เคยยอมรับว่า มาตรการที่รัฐบาลใช้กับประชาชนของตน เป็นมาตรการแบบก้าวกระโดด ที่รุนแรง และนำออกมาใช้เกินกว่าเหตุ จนสาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก มาตรการรุนแรงเช่นนั้น เกิดจากความกลัว และความเกลียดชังประชาชนของตน มากกว่าจะเอาใจใส่ถึงความปลอดภัยต่อชีวิตของประชาชน”
นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า การชุมนุมของนักเรียน นักศึกษา และประชาชนในวันนี้ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย การแสดงออกซึ่งความคิดและมุมมองทัศนะที่มีต่อสังคม ความคิดเห็นต่างๆ ต่อข้อเสนอและแนวคิดที่ถูกนำเสนอออกสู่สาธารณชนนั้น ควรจะได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง ถึงความเหมาะสม ความถูกต้อง และร่วมกันหาทางออกให้ประเทศ อย่างเปิดเผย ไม่ใช่เพียงการซื้อเวลา ตนเห็นว่าสภาแห่งนี้ควรใช้เวลาที่มีอยู่ 2 วัน เสนอต่อรัฐบาลให้พิจารณาและหาข้อสรุปในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ดังนี้ 1.ต้องพิจารณาข้อเสนอของนักเรียน นักศึกษาและประชาชน อย่างจริงจัง เปิดใจรับฟังแต่ละปัญหาที่นำเสนอ อย่างมีวิจารณญาณ 2.ต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว ไม่เตะถ่วงหรือดึงเวลาให้ล่าช้า ไม่ทันสถานการณ์วิกฤติที่กำลังบานปลาย
นายสมพงษ์ กล่าวอีกว่า 3.ต้องเร่งปลดเงื่อนไข ที่เป็นมูลเหตุของวิกฤติ เร่งปล่อยตัวนักเรียน นักศึกษา ประชาชนที่ถูกจับกุมคุมขัง จากการตัดสินใจที่ผิดพลาดในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง โดยพลัน ปลดเงื่อนไขที่จะทำให้สถานการณ์บานปลาย ยุติการปิดกั้นสื่อ เปิดช่องทางการรับรู้ข่าวสารของประชาชน และยุติการใช้กฎหมายที่ดำเนินคดีกับประชาชนผู้เห็นต่างจากรัฐบาลโดยเร็วที่สุด และ 4.นายกฯ ต้องลาออก เพราะท่านคือ อุปสรรคสำคัญ ที่เป็นภาระของประเทศ หากท่านลาออก จะถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาด และความล้มเหลวทั้งปวง ที่ได้กระทำลงไป
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สภาที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ จะไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเตะถ่วงเวลา และฟอกความล้มเหลวให้แก่รัฐบาล ผมเชื่อว่า ประชาชนทั้งประเทศกำลังรอฟังคำตอบจากพวกเรา” นายสมพงษ์ กล่าว