รีเซต

ธนาคารดีบีเอส ชี้ทองคำยังไปต่อ คาดสิ้นปีนี้ 3,765 ดอลลาร์ ส่วนหุ้นไทย1,000 จุด

ธนาคารดีบีเอส ชี้ทองคำยังไปต่อ คาดสิ้นปีนี้ 3,765 ดอลลาร์ ส่วนหุ้นไทย1,000 จุด
TNN ช่อง16
17 กรกฎาคม 2568 ( 16:44 )
25

นายเวย์ ฟุก โหว Chief Investment Office, DBS Bank (ธนาคารดีบีเอส กรุ๊ป) เปิดเผยว่า สงครามภาษีในระดับโลกตามนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์แม้จะสร้างความผันผวนต่อเศรษฐกิจและการลงทุน โดยคาดว่าในครึ่งหลังของปีนี้เงินลงทุนต่างชาติหรือฟันด์โฟลว์น่าจะมีการไหลออกจากตลาดหุ้นสหรัฐบ้าง เนื่องจากคาดการณ์กำไรของบริษัทในตลาดหุ้นสหัฐน่าจะถูกปัยลดลงเล็กน้อย และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง กดดันให้นักลงทุนกระจายการลงทุนมากขึ้น ขณะที่ นโยบายภาษีตอบโต้ทางการค้า (Reciprocal Tariff) ที่ยังมีความไม่แน่นอน บวกกับนโยบายการขาดดุลที่สูงอาจสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจเศรษฐกิจสหรัฐ จากความไม่แน่นอนนี้ จึงมองโอกาสการกระจายลงทุนไปใน 3 กลุ่มสินทรัพย์ ที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้พอร์ตกาลงทุนได้ ในระดับร้อยละ 10 สูงต่อเนื่องจากในครึ่งแรกปีนี้ ที่ DBS Bank ทำได้ที่ร้อยละ 8.9 คือ 


1) ตลาดหุ้น โดยลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐลงเล็กน้อย แต่ยังคงให้น้ำหนักต่อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี AI ที่มีการเติบโตที่ดี แต่เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นยุโรปและเอเชียมากขึ้น เนื่องจากยุโรปมีแนวโน้มเร่งใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจดูแลผลกระทบภาษีการค้ามากขึ้น และแนวโน้มนโยบายการเงินผ่อนคลาย ส่วนหุ้นเอเชีย มีปันผลสูง 

2) ตลาดตราสารหนี้ เน้นระดับที่ลงทุนได้ Investment Grade ที่มีอายุตั้งแต่ 2-3 ปี  ที่ยังคงมีความเหมาะสมในภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงทั้งด้านการชะลอตัวและเงินเฟ้อ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ถูกกระทบจากภาษีการค้า หนุนให้แนวโน้มดอกเบี้ยลดลงเป็นบวกต่ออัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น


และ 3) สินทรัพย์ทางเลือก โดยยังให้น้ำหนัก (Overweight) กับทองคำ เนื่องจากภาษีการค้าทำให้เกิดการจายความเสี่ยงออกจากดอลลาร์ (dollar decentralized) จากแรงซื้อของธนาคารกลางต่างๆ โดยมองเป้าหมายทองสิ้นปีนี้ที่ระดับ 3,765 ดอลลาร์/ออนซ์ และมองหาโอกาสในสินทรัพย์นอกตลาดที่สร้างรายได้ประจำ อย่างกองทุนเฮดจ์ฟันด์ // ตลาดรองของ Private Equity // ตราสารหนี้นอกตลาด // และโครงสร้างพื้นฐานภาคเอกชน  


ทั้งนี้ DBS Bank  คาดการณ์ว่า ดอลลาร์อาจมีโอกาสอ่อนค่าได้ เนื่องจากสหรัฐยังขาดดุลงบประมาณสูงและตลาดลดการถือครองลง ส่งผลให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ส่วนหนึ่งแข็งตามสกุลเงินหยวนของจีนด้วย โดยแม้เศรษฐกิจไทยจะถูกกระทบจากภาคการส่งออกหากภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐซึ่งเป็นตลาดใหญ่กระทบ แต่คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลได้ ซึ่งหนุนเงินบาทแข็งค่าได้ คาดค่าเงินบาทสิ้นปีที่ระดับ 32.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2569 ที่ระดับ 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ 

ด้าน นางสาวจันทร์เพ็ญ ศิริธนารัตนกุล กรรมการบริหารอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์  หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังขึ้นกับ 2 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามอง คือ ประเด็นทางการเมืองในประเทศและภาษีการค้าไทยสหรัฐที่รอความชัดเจนว่าไทยจะได้อัตราเท่าไหร่ หากภาษีไทยออกมาต่ำในกรณีฐานที่้คาดไว้ราวร้อยละ 18-20 ใกล้เพื่อนบ้าน คาด GDP ไทยในปีนี้จะโตที่้ร้อยละ 1.8 ส่วนเป้าดัชหุ้นไทยนีปีนี้คาดไว้ที่ 1,300 จุด แต่หากภาษีที่ได้อยู่ที่เพดานร้อยละ 36 ก็เชื่อว่าหุ้นไทยจะอยู่แถวๆ 1,100 -1,000 จุด เพราะยังมองว่ามีหุ้นหลายกลุ่มที่เลือกลงทุนได้ จาก value ที่ต่ำ และยังมีโอกาสเติบโต และไม่ได้กระทบรุนแรงจากการส่งออก  


"จริงๆ ตลาดหุ้นไทยลงมามากแล้วราวร้อยละ 22 เป็นที่รู้กันว่ามาจากหลายปัจจัย การเมือง เศรษฐกิจ การเท่องเที่ยว ต่างชาติก็ขายสุทธิมาต่อเนื่อง ถามว่ามันจะลงจากนี้ระดับอีกถึงร้อยละ 20 หรือไม่ คิดว่าคงไม่ เพราะถ้าเราไปดู  value หุ้นมันก็ลงมาเยอะมาพอสมควรแล้ว เราก็ต้องมาดูร่วมกัน ส่วน Reciprocal Tarif ในท้ายที่สุดจะออกมาที่เท่าไร ถ้าออกมาต่ำกว่า หรือ ใกล้เคียงเพื่อนบ้าน การส่งออกยังน่าจะแข่งขันได้ และระหว่างที่ยังไม่เห็นว่า Tarif  อยู่เท่าไหร่ เราก็ยังเลือกมองมาที่หุ้นที่ลงมาเยอะๆ ที่ยังเป็นโอกาสให้เลือกเข้าไปซื้อได้ ส่วน worst-case scenario มองหุ้นไทยจะที่ประมาณ 1,000 จุด โดยหุ้นในกลุ่มที่ยังลงทุนได้ มองไปที่ หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล เช่น BDMS แล้วก็ โทรคมนาคม กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์( REIT) ที่ราคาลมาเยอะๆ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น (Consumer Staples) ที่ไม่ค่อยกระทบ"  นางสาวจันทร์เพ็ญ กล่าว 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง