4 เดือนก่อนยุบสภา รัฐบาลจะเดินเกม แก้ปัญหาปากท้องทันใจได้แค่ไหน?

การโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ปิดฉากด้วยรัฐบาลเสียงข้างน้อยอายุสั้น ภายใต้เงื่อนไข “ยุบสภาภายใน 4 เดือน” และกรอบการทำงานที่ต้องพึ่งพาคะแนนจากพรรคการเมืองอื่นในสภาทุกครั้งที่ต้องผลักดันวาระสำคัญ นี่คือช่วงเวลาที่การเมืองไทยเดินบนรางแคบ ซึ่งความเร็วไม่ได้สำคัญเท่ากับ “การรักษาสมดุล” ระหว่างคำมั่นทางการเมืองและการแก้ปัญหาประเทศในระยะสั้น
โจทย์แรกคือความชัดเจนของ “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ที่มีฐานเสียง 146 เสียง การบริหารภายใต้โครงสร้างเช่นนี้ต้องอาศัยวาระร่วมที่จับต้องได้และพิสูจน์ผลได้เร็ว (ภายในหน้าต่างเวลา 4 เดือน) โดยยังต้องรักษาข้อตกลงทางการเมือง 5 ข้อกับผู้สนับสนุนให้ครบถ้วน เพราะเพียงเกิดรอยปริเล็กน้อย ความเชื่อมั่นและเสถียรภาพอาจถดถอยทันที
ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลใหม่ถูกคาดหวังให้บรรเทาค่าครองชีพและอัดฉีดกำลังซื้อฐานราก “แบบไม่ทิ้งวินัยการคลัง” พรรคแกนนำอย่างภูมิใจไทยวางหมุดหมายไว้ที่การเติมเงินในระบบระดับชุมชนและอาชีพอิสระผ่านมาตรการกระตุ้นเชิงตรงจุด เช่น การขยายสวัสดิการที่ช่วยรายจ่ายประจำวัน (ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง) การจัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับเอสเอ็มอีและเกษตรกร และการเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่นที่จ้างงานได้ทันที ทั้งหมดนี้ตั้งอยู่บนตรรกะว่า “เงินถึงมือ–เศรษฐกิจไหลเวียน–ฐานภาษีขยาย”
สาธารณสุขคือสนามที่รัฐบาลชุดนี้มีแต้มต่อ ภูมิใจไทยย้ำแนวทาง “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ด้วยการยกระดับบัตรทองให้ครอบคลุมบริการเชิงป้องกันมากขึ้น (ตรวจคัดกรองโรคเรื้อรัง เวชศาสตร์ครอบครัว) เดินหน้าการแพทย์สมุนไพรที่ได้มาตรฐาน และใช้กรอบกฎหมายกำกับผลิตภัณฑ์กัญชาทางการแพทย์เพื่อคุณภาพและความปลอดภัยของผู้ป่วย เป้าหมายคือคลายภาระค่ารักษา ลดเวลารอคอย และกระตุ้นเศรษฐกิจสุขภาพในภูมิภาค
คมนาคมและค่าพาหนะถูกหยิบเป็น “ตัวลดแรงดันค่าครองชีพ” มาตรการระยะต้นที่พูดกันคือรถเมล์ฟรีในเขตเมืองหลัก การทยอยใช้รถโดยสารไฟฟ้า (EV Bus) เพื่อลดต้นทุนพลังงาน และการเร่งโครงการรางเบา–รางคู่ที่เชื่อมเมืองรอง แนวทางนี้ทำงานคู่กับยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวแบบกระจายตัว เน้นวิถีชุมชน โฮมสเตย์ งานเทศกาลท้องถิ่น และสิทธิอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวกลุ่มเป้าหมาย เพื่อดึงรายได้ใหม่เข้าชนบท (และให้หมุนเวียนสู่เอสเอ็มอีท้องถิ่น)
พลังงานและสิ่งแวดล้อมถูกมองเป็น “ต้นทุนโครงสร้าง” ที่ต้องผ่อนแรงอย่างยั่งยืน แกนคิดคือพลังงานทดแทนระดับชุมชน (ชีวมวล แสงอาทิตย์ ลมขนาดย่อม) และกรอบภาษีสิ่งแวดล้อมที่ค่อยเป็นค่อยไป เพื่อจูงใจให้ภาคการผลิตลดคาร์บอนโดยไม่กระทบความสามารถแข่งขัน ควบคู่โครงการป่าชุมชนที่สร้างรายได้เสริมและเพิ่มพื้นที่สีเขียวจริงจัง
ทักษะคนคือฐานรองรับการฟื้นตัว ภูมิใจไทยเสนอศูนย์ฝึกอาชีพฟรีทุกอำเภอ การเรียนออนไลน์ต้นทุนต่ำ และความร่วมมือฝึกงานกับภาคเอกชน (ปรับหลักสูตรให้ตรงงานจริง) เพื่อยกระดับแรงงานเข้าสู่อุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งหมดนี้สัมพันธ์กับแนวทาง “กระจายอำนาจ” ที่เพิ่มงบและอำนาจตัดสินใจให้ท้องถิ่นบริหารโครงการพื้นฐานเอง (ถนน แหล่งน้ำ สุขภาพ) เพราะการตัดสินใจใกล้พื้นที่มักแม่นกับปัญหาจริง
มิติความมั่นคงและต่างประเทศ โดยเฉพาะชายแดน ต้องใช้ทั้งโต๊ะเจรจาและมาตรการคุ้มครองประชาชนในพื้นที่ (กติกาชายแดนที่ชัด การประสานกลไกทวิภาคี การสื่อสารกับชุมชนแนวปะทะ) เป้าหมายคือไม่ให้เหตุการณ์ท้องถิ่นปะทุเป็นปัญหาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวระดับชาติ การบริหารความเสี่ยงตรงนี้ต้องเดินควบคู่กับวาระการทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นคำมั่นกลางเวทีการเมือง
ทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้กรอบเวลาจำกัด จึงต้องเลือก “แพ็กเกจนโยบายระยะสั้นที่มีผลทันที” วางคู่กับ “แผนปฏิรูปที่สานต่อได้หลังเลือกตั้ง” หากทำสำเร็จ รัฐบาลเฉพาะกิจจะสร้างมาตรฐานใหม่ให้การเมืองไทยว่า แม้ฐานเสียงไม่มาก ก็สามารถเร่งเครื่องวาระที่จำเป็นและวางรางสำหรับรัฐบาลถัดไปได้ แต่หากสะดุดจากความคลอนแคลนของข้อตกลงหรือการสื่อสารสาธารณะ ผลลัพธ์อาจกลายเป็นภาระใหม่ในคูหาเลือกตั้ง
คำถามจึงอยู่ที่ว่า 4 เดือนข้างหน้า เราจะเห็น “ผลลัพธ์ที่จับต้องได้” แค่ไหนในค่าครองชีพ การเดินทาง สุขภาพ และรายได้ชุมชน หากคำตอบคือเห็นจริง แม้ทีละขั้นเล็กๆ ความไว้วางใจจะขยายตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งวาทกรรม แต่ถ้าผลลัพธ์ยังเลือนราง ความชอบธรรมของแนวทางเฉพาะกิจจะถูกทดสอบทันทีในวันยุบสภา (นี่คือเส้นบางๆ ระหว่างการเริ่มต้นการเปลี่ยนผ่านกับการค้างคา)
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
