รีเซต

ประเมินนโยบาย"รัฐบาล"กระตุ้นเศรษฐกิจ

ประเมินนโยบาย"รัฐบาล"กระตุ้นเศรษฐกิจ
TNN ช่อง16
2 ตุลาคม 2568 ( 11:04 )
7

รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้แถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568  เพื่อเดินหน้าทำงานในห้วงเวลาที่จำกัดเพียง 4 เดือน  โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลให้สำคัญเร่งด่วน  

โดย ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงแนวนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้เปรียบเสมือนรถยนต์กำลังจะ “ติดหล่ม” เพราะรถยนต์เศรษฐกิจไทยมีเครื่องยนต์ 4 ลูกสูบ ประกอบด้วย การส่งออก การบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ โดยลูกสูบทั้ง 3 ตัวแรกกำลังอ่อนแรงหรือใกล้ดับ เหลือเพียงการใช้จ่ายภาครัฐเท่านั้นที่ยังพอดันเศรษฐกิจได้

โดย “การส่งออก”  ได้มีการเร่งส่งออกก่อนจะมีการจัดเก็บภาษีทรัมป์ ทำให้ครึ่งปีแรกการส่งออกขยายตัวได้ดี  แต่ในช่วงหลังการส่งออกเริ่มแผ่วและค่อย ๆ ดับลง เพราะโดนเก็บภาษีไปแล้ว

“การบริโภคภาคเอกชน” ตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทย การบริโภคภาคเอกชนเดือนกรกฎาคมติดลบเป็นครั้งแรกในรอบปี เป็นผลมาจากความเชื่อมั่น ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สะสมมานาน คนไม่มีรายได้ ถือเป็นเครื่องยนต์ที่เริ่มแผ่วและกำลังจะดับลงเช่นกัน

“การลงทุนภาคเอกชน”  ทุกวันนี้อัตราการใช้กำลังการผลิตไม่ถึงร้อยละ 60 ซึ่งเครื่องยนต์นี้ก็เตรียมดับเช่นเดียวกัน   

และเครื่องยนต์สุดท้าย “การใช้จ่ายรัฐบาล” ซึ่งเครื่องยนต์นี้น้ำหนักตัวเล็ก แต่เป็นเครื่องยนต์เดียวที่มีอยู่ ถ้าไม่ใช้ “ไม่เพียงแค่ติดหล่ม แต่จะดิ่งเหวเลย” และความเสียหายจะเกิดขึ้นมากมาย จะแก้ไขยากขึ้นไปอีก

สะท้อนจากจากตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจไทยของ 3 หน่วยงานภาครัฐ  ซึ่งคาดว่า GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ  ไตรมาส 3 จะขยายตัวร้อยละ 1.7  และไตรมาส 4 จะเหลืออยู่แค่ร้อยละ 0.3 แสดงว่าใกล้จะติดลบ

ทั้งนี้  ตัวเลขจริงของ GDP ที่สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แถลงล่าสุดในไตรมาส 1 และไตรมาส 2  ขยายตัวที่ร้อยละ 3.2 และ 2.8 ตามลำดับ 

จากปัญหาที่กล่าวมา แนวนโยบายของรัฐบาลจึงเน้นกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาภายใต้หลักคิด “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว”   โดยหลักคิดแรก “กระตุ้นสั้น” เพราะมีเวลาเพียง 4 เดือน  หลักคิดที่สอง “ได้ยาว”  ต้องคิดถึงศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาวด้วย ไม่ใช่แค่แจกเงิน เพราะรถยนต์เศรษฐกิจไทยไม่เพียงแต่เครื่องยนต์จะดับ แต่ยังเป็นรถยนต์เก่า คนขับรถก็ขับไม่ค่อยเป็นเพราะทักษะที่ใช้เป็นเทคโนโลยีเก่า และหลักคิดที่สาม “กระจายตัว”  เพื่อให้ประโยชน์กระจายไปทั่วประเทศโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย






ภายใต้หลักการนี้ รัฐบาลเรียกชุดมาตรการว่า “ Quick Big Win “  โดย Quick หมายถึงทำเร็วและทันที Big คือต้องใหญ่พอดันเศรษฐกิจให้พ้นเหว และ Win คือให้ประชาชน  ผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อยให้ได้ประโยชน์กระจายไปทุกพื้น  

โดยการดำเนินการที่มุ่งเน้น “Quick Big Win”  รัฐบาลจะแบ่งเป็น  5 เสาหลัก 1 ฐานราก เพื่อรับมือภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอรุนแรง พร้อมตั้งเป้าหมายการวัดผลที่ชัดเจนภายใน 4 เดือนแรกของการบริหาร ประกอบด้วย 

1.กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว นำโดยโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อกระตุ้นสั้นและกระจายตัวสู่พ่อค้าแม่ค้ารายเล็กรายย่อย โดยรัฐและประชาชนสมทบคนละ 200 บาท คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ภายในเดือนต.ค.นี้   

สิ่งที่เป็นพลัส มี 3 ประการ ประการแรกคือผู้เสียภาษีที่อยู่ในระบบจะได้เงิน 2,400 บาท มากกว่าคนที่ไม่อยู่ในระบบภาษีซึ่งได้ 2,000 บาท เพื่อจูงใจให้คนเข้าระบบภาษี  ประการที่สองคือการพัฒนาทักษะให้พ่อค้าแม่ค้าขายของออนไลน์ผ่านหลักสูตร e-commerce และประการที่สามคือระบบบัญชีดิจิทัลที่จะทำให้พ่อค้าแม่ค้ามีข้อมูลรายรับรายจ่ายชัดเจน สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ การทำโครงการนี้ไม่ได้ใช้เงินใหม่ และไม่กู้เพิ่ม แต่ใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท บวกงบกลาง 19,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในกรอบงบประมาณปี 2569 ที่รัฐสภาอนุมัติแล้ว

นอกจากนี้ จะออกมาตรการภาษีส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยให้สิทธิผู้ประกอบการหักลดหย่อนภาษี 2 เท่าสำหรับการปรับปรุงโรงแรมในเมืองรอง ซึ่งทำให้รัฐสูญเสียรายได้เพียง 300 ล้านบาท แต่ผลที่ได้รับจะกระจายผลประโยชน์ไปทั่ว

2.แก้ไขปัญหาหนี้ประชาชนหรือหนี้ครัวเรือน โดยจะใช้เงินกองทุนฟื้นฟูฯ ที่เหลือ 26,000 ล้านบาท เพื่อตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ซื้อหนี้ NPL เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ยืดหนี้และลดดอกเบี้ยให้ลูกหนี้หายใจคล่องขึ้น

รวมทั้งกระทรวงการคลังพัฒนาโครงการสินเชื่อตามความเสี่ยง (ARI Score) เพื่อให้คนตัวเล็กเข้าถึงสินเชื่อในระบบและไม่พึ่งหนี้นอกระบบ

3. เสริมสภาพคล่อง SMEs เตรียมกลไกบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) มาค้ำประกัน โดยเตรียมวงเงินไว้ขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท รวมทั้ง Supply Chain Financing (พี่ช่วยน้อง) ส่งเสริมให้รายใหญ่ช่วยรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งให้สิทธิหักค่าใช้จ่ายภาษีได้ ขณะที่กรมสรรพากรมีภาษีค้างคืนอยู่ 160,000 ล้านบาท จะเร่งคืนเข้าสู่ระบบและ SME ทันที

4.เพิ่มการออมภาคประชาชน พัฒนาผลิตภัณฑ์สลากเพื่อการออม โดยจะนำหลักการออมผูกกับการซื้อสลากออนไลน์ โดยสัดส่วนเงินออมจะถูกเก็บไว้ใช้ระยะยาว เช่น อายุ 55 ปี ถือ 5 ปี โดยจะสนับสนุนวงเงินสบทบจากการหักจากค่าการตลาดของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พัฒนาผลิตภัณฑ์สลากเพื่อการออม โดยเงินที่ไม่ถูกรางวัลเป็นเงินออม ทั้งนี้จะเป็นคนละส่วนกับหวยเกษียณ   นอกจากนี้ยังมีพันธบัตรออมทรัพย์ที่ให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงได้ทุกเดือน โครงการนี้จะช่วยให้คนไทยที่จะแก่ตัวในอนาคตมีเงินออมเพียงพอ

5. การลงทุนเพื่ออนาคต โดยร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (BOI) และสถาบันการศึกษา อาทิ สถาบันเทคนิคไทย-เยอรมัน เพื่อพัฒนาทักษะแรงงานให้ตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่  

พร้อมกับปลดล็อกโครงการที่ได้รับอนุมัติจาก BOI ไปแล้วในช่วงปี 2566-2567 แต่ยังติดขัดเรื่องสาธารณูปโภคและแรงงาน ซึ่งมีเม็ดเงินคงค้างอยู่ 470,000 ล้านบาท โดยจะขอคณะรัฐมนตรีทำโครงการ Fast Pass เพื่อเป็นช่องทางด่วนทำให้เงินลงทุนกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายใน 4 เดือน

ทั้งนี้  5 เสาหลักนี้จะอยู่บนฐานรากที่สำคัญ คือ รักษาเสถียรภาพทางการคลัง โดยนโยบายดังกล่าวจะไม่กระทบต่อวินัยการเงินการคลังของประเทศ เพราะไม่ได้ใช้เงินใหม่ แต่ใช้กรอบงบประมาณที่ได้รับอนุมัติโดยรัฐบาลที่แล้ว และในเดือนพฤศจิกายนจะมีการจัดทำกรอบวินัยทางการคลังระยะปานกลาง เพื่อสร้างความมั่นใจให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ว่า เรามีแผนชัดเจน  โปร่งใส และมีธรรมาภิบาลของระบบการคลัง 

ดร.เอกนิติย้ำว่า นโยบายที่ทำ เป้าหมายเราชัด จะต้องเอารถยนต์ของเราขึ้นจากหล่มให้ได้ ไม่ให้ตกเหว GDP ไตรมาส 4 ที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 0.3 เราต้องทำให้ดีกว่าร้อยละ 0.3 นี้คือ เป้าหมายที่ชัด 

และยังมีเป้าหมายหนี้ครัวเรือนต้องลดลงต่ำกว่าร้อยละ  87.4 ของ GDP  ขณะที่ธุรกิจ SME จะต้องมีสภาพคล่องมากขึ้น และเม็ดเงินลงทุนจาก BOI จะต้องเป็นเงินลงทุนจริงที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ มีหลายหน่วยงานประเมินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการคนละครึ่งพลัสว่า อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไม่มาก  อาทิ  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  โดย ดร.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธปท. ประเมินว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในส่วนของโครงการคนละครึ่ง และบัตรสวัสดิการของรัฐ ที่มีเม็ดเงินรวมกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งในแง่เม็ดเงินมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 0.4 ของจีดีพีที่เป็นตัวเงิน (Nominal GDP)  แต่อาจจะมีต่อเศรษฐกิจไม่มากนัก หรือมีผลไม่เกินร้อยละ 0.2 ของจีดีพี

เนื่องจากเป็นมาตรการประเภทเงินโอน ซึ่งไม่ได้ช่วยสร้างงาน หรือ multiplier ในเรื่องของรายได้เพิ่ม แต่แน่นอนว่าจะมีการกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย แต่อาจจะมีการรั่วไหลบ้างจากสินค้านำเข้า บางจุด บางส่วน แต่จะเป็นปัจจัยบวกช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจและประชาชนแน่นอน  อย่างไรก็ดี ผลจริงๆ ของมาตรการจะมาก-น้อย ขึ้นกับการใช้จ่ายของประชาชนด้วย ต้องประเมินอีกที

ด้าน ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน, ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ประเมินว่า มาตรการคนละครึ่งที่รัฐบาลจะใช้งบประมาณ 25,000 ล้านบาท เป็นโครงการที่ดี และควรจะต้องทำ  เพียงแต่ว่าผลในการกระตุ้น GDP อาจจะมีจำกัด หรือไม่ถึงร้อยละ 0.1 

เนื่องจากการที่รัฐบาลออกให้ร้อยละ 50  แล้วประชาชนออกอีกร้อยละ 50 มาใช้จ่ายต่อ ก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ  แต่ถ้าคนเลือกจะประหยัดไม่ใช้จ่าย ก็อาจจะไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ  ผลกระทบจึงไม่น่าจะเยอะ โดยคาดว่าไม่น่าถึงร้อยละ 0.1  ขอ งGDP

ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินนโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Win) ของรัฐบาลว่าจะช่วยบรรเทาค่าครองชีพในระยะสั้นและประคองเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 


โครงการคนละครึ่งพลัส คาดว่าจะใช้ได้ในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2568 ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในไตรมาสสุดท้ายของปีได้บ้าง โดยในเบื้องต้นหากวงเงินอยู่ที่ราว 6 หมื่นล้านบาท (รวมการให้เงินประชาชนทั่วไปในโครงการคนละครึ่ง 20 ล้านคน และการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน) คาดว่าจะมีเม็ดเงินใช้จ่ายเพิ่มเติมคิดเป็นราวร้อยละ 0.15 ของ GDP ท่ามกลาง Marginal propensity to consume (MPC) หรือ ความโน้มเอียงส่วนเพิ่มในการบริโภค ที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำจากกำลังซื้อที่อ่อนแรง อย่างไรก็ดี ยังคงต้องรอความชัดเจนเรื่องงบประมาณ เงื่อนไขการใช้จ่าย และสิทธิประโยชน์ที่กำหนด ขณะที่แรงหนุนเพิ่มเติมต่อ GDP ในปีนี้อาจมีไม่มากนัก เนื่องจากวงเงินดังกล่าวถูกจัดสรรไว้ในงบประมาณเดิมอยู่แล้ว

ส่วนมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว รัฐบาลอาจพิจารณาออกมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งต้องรอรายละเอียดที่จะออกมา โดยผลต่อเศรษฐกิจคงขึ้นอยู่กับวงเงิน ช่วงเวลา พื้นที่และเงื่อนในการใช้จ่าย โดยการออกมาตรการในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวอาจช่วยหนุนการเข้าร่วมโครงการได้ดีกว่าในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวนอาจกระทบการพิจารณาเดินทางท่องเที่ยว 

อย่างไรก็ดี การท่องเที่ยวในประเทศยังเผชิญปัจจัยกดดันจากการการชะลอตัวของเศรษฐกิจและรายได้ รวมถึงแนวโน้มการเดินทางไปต่างประเทศของคนไทยที่ปัจจุบันมีความสะดวกและคุ้มค่ามากขึ้นจากการทำตลาดของบริษัทนำเที่ยว ขณะที่ การฟื้นความเชื่อมั่นและเพิ่มการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมีความจำเป็น แต่อาจเผชิญความท้าทายท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าการดำเนินนโยบายของรัฐบาลยังมีความท้าทายจากกรอบเวลาบริหารราชการในระยะสั้นๆ ที่ต้องให้ยุบสภาภายใน 4 เดือนนับจากวันที่ 1 ต.ค. 2568 อีกทั้ง การเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยอาจส่งผลต่อการผลักดันนโยบายหลัก และการเบิกจ่ายงบประมาณตลอดช่วงการดำรงตำแหน่งรัฐบาลและช่วงรัฐบาลรักษาการซึ่งคาดว่าจะมีระยะเวลาทั้งสิ้นราว 8 เดือน 

อย่างไรก็ตาม ภายใต้กรอบเวลาสั้นๆ รัฐบาลมีอีกเครื่องมือในการประคองเศรษฐกิจโดยการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุน โดยการเบิกจ่ายในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2568 (เดือนมิ.ย. - ก.ย.) ชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ 

ส่วนหนึ่งเกิดจากช่วงการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ส่งผลให้ ณ วันที่ 26 ก.ย. 2568 การเบิกจ่ายงบลงทุนอยู่ที่ร้อยละ 60  ต่ำกว่าปีงบประมาณ 2567 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 65 ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2569 มีแนวโน้มจะต่ำกว่าปีก่อนจากปัจจัยฐานสูงจากความต่อเนื่องของการเร่งรัดการเบิกจ่ายหลังงบประมาณปี 2567 อนุมัติล่าช้า 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง