รีเซต

ส่องแผนรัฐ สู้รับมือ สินค้าแพง-พาเหรดขึ้นราคา

ส่องแผนรัฐ สู้รับมือ สินค้าแพง-พาเหรดขึ้นราคา
มติชน
25 เมษายน 2565 ( 07:02 )
24
ส่องแผนรัฐ สู้รับมือ สินค้าแพง-พาเหรดขึ้นราคา

ทุกคนจะเผื่อใจไว้แล้วว่าเข้าเดือนพฤษภาคม คนไทยต้องเผชิญกับสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น เนื่องจากวัตถุดิบและค่าโสหุ้ยขยับขึ้น ตามต้นทุน-ค่าขนส่งปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน

ผู้ประกอบการ ภาคส่วนต่างๆ ประกาศไปแล้ว อั้นไม่ไหว

ถึงคิวต้องผลักภาระผู้บริโภค

ขณะที่ภาครัฐนั้น ได้พยายามตรึง แก้ปัญหา ด้วยวิธีการต่างๆ นานา เพราะหากปล่อยให้สินค้าขึ้นราคา สินค้าจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ประชาชนเดือดร้อนมากๆ

อาจกลายเป็นปัญหาการเมือง เขย่ารัฐบาลเอาได้

เมื่อภาคเอกชน ผู้ประกอบการ แบกรับไม่ไหว

ทำให้ทุกฝ่ายหันไปจับตารัฐบาลว่ามีแผนรับ บรรเทาผลกระทบอย่างไร !!

 

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ระบุว่า มาตรการหรือโครงการที่คลังผลักดันออกมาช่วยประชาชน ที่ผ่านมาเป็นชุดโครงการ 10 มาตรการ เชื่อว่าสามารถช่วยให้ประชาชนยังมีกำลังซื้ออยู่ได้ ส่วนจะมีโครงการช่วยเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องรอการประเมินภาวะเศรษฐกิจปลายเดือนนี้ หลังประกาศตัวเลขเศรษฐกิจแท้จริงก่อน

 

10 มาตรการออกมาเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ประกอบด้วย 1.การเพิ่มเงินช่วยเหลือเพื่อซื้อก๊าซหุงต้มสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3.6 ล้านคน เพิ่มจาก 45 บาท เป็น 100 บาทต่อเดือน 2.ส่วนลดซื้อก๊าซหุงต้ม เดือนละ 100 บาท สำหรับผู้ค้าหาบเร่แผงลอยถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประมาณ 5,500 คน

 

3.ช่วยเหลือค่าน้ำมันผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบก 157,000 คน ช่วยลดค่าใช้จ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 250 บาทต่อเดือน และขอให้กรมการขนส่งทางบกกำกับราคาการให้บริการเพื่อให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่ปรับราคา

 

4.คงราคาขายปลีกผู้ที่ใช้ก๊าซ NGV ไว้ที่ 15.59 บาทต่อกิโลกรัม 5.ผู้ขับขี่แท็กซี่มิเตอร์ภายใต้โครงการลมหายใจเดียวกัน ซื้อก๊าซได้ในราคา 13.62 บาท/กิโลกรัม 6.ช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ลดค่า FT ลง 22 สตางค์ต่อหน่วย เดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 20 ล้านหลังคาเรือน 7.ตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2565 หลังจากนั้น รัฐบาลจะช่วยเหลือส่วนที่ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้นครึ่งหนึ่ง

 

8.กำกับดูแลการปรับราคาก๊าซหุงต้มเดือนเมษายน-มิถุนายน ใช้กองทุนน้ำมันเข้าไปช่วยลดผลกระทบจากการปรับราคาไม่ให้ขึ้นสูงเกินไป 9.ลดอัตราเงินสมทบของนายจ้างและลูกจ้างในระบบประกันสังคมมาตรา 33 จาก 5% เหลือ 1% และ 10.ลดอัตราเงินสมทบผู้ประกันตนมาตรา 39 จาก 9% เหลือ 1.9% และลดอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ลงเหลือ 42-180 บาทต่อเดือน

 

ขณะที่ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุถึงมาตรการรับมือวิกฤตราคาพลังงานและสินค้าราคาแพง ยังไม่มีมาตรการใหม่เพิ่ม เพราะยังไม่ถึงเวลา ต้องรอประเมินผลกระทบจาก 10 มาตรการที่รัฐบาลออกไปภายในต้นเดือนมิถุนายนนี้ รวมถึงประเมินผลกระทบจากสถานการณ์สงครามรัสเซียกับยูเครนยังยืดเยื้อและมาตรการแซงก์ชั่นด้วย

 

“10 มาตรการที่ออกเป็นมาตรการการคลัง ต้องอาศัยเวลาระยะหนึ่งในการเห็นผลกระทบว่าจะเป็นอย่างไร ใน 10 มาตรการบางอย่างอาจเห็นผลเร็ว ประเมินได้เร็ว เช่น ช่วยกลุ่มเปราะบางเรื่องค่าน้ำมัน ก๊าซบางส่วน แต่บางอย่างต้องรอประเมินในภาพใหญ่ กลางเดือนมิถุนายนคงประเมินอีกทีว่าเป็นอย่างไร ประเมินร่วมกับสถานการณ์ในเวลานั้น เพราะไม่รู้จะมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง รัฐบาลคงไม่มีมาตรการออกมาทุกเดือน”

 

สำหรับทิศทางการปรับราคาน้ำมันดีเซลหลังรัฐบาลจะเลิกตรึงราคา 30 บาท/ลิตร นายดนุชาชี้แจงว่า การขึ้นราคาน้ำมันแบบขั้นบันได ไม่ได้หมายความว่าจะขึ้นพรวดเดียวเป็น 40 บาท 50 บาท ณ วันนี้ราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 29 บาทกว่าๆ สมมุติวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ราคาน้ำมันตลาดโลกราคา 105 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อแปลงเป็นราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ราคาจริงๆ จะอยู่ 38 บาท และรัฐจะช่วยส่วนต่างกึ่งหนึ่ง หรือช่วย 4 บาท เท่ากับว่าราคาขึ้นที่ 34 บาท และทยอยปรับขึ้น เช่น เริ่มต้น 32 บาท จนไปหยุดที่ 34 บาท กองทุนน้ำมันใช้เงินกู้ก้อนแรก 10,000 ล้านบาท มาดำเนินการส่วนนี้ กระทรวงการคลังอนุมัติแล้ว คาดว่าจะกู้ได้ในเร็วๆ นี้

 

ส่วนข้อเสนอให้ลดภาษีสรรพสามิตนั้น นายดนุชาอธิบายว่า ปัจจุบันรัฐบาลได้ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลิตรละ 3 บาท จะสิ้นสุดวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ส่วนจะต่อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณา เนื่องจากการลดภาษีมีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้สรรพสามิต ต้องดูว่าขณะนี้และระยะถัดไปการจัดเก็บรายได้เป็นอย่างไร ถ้าจะต่ออายุตรงนี้ จะกระทบรายได้รัฐเป็นภาพใหญ่อย่างไร ต้องประเมินผลกระทบตรงนี้ก่อนจะบอกว่าต่อหรือไม่ต่อ

 

“ตอนนี้นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ รมว.คลังไปดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ทุกคนไม่ได้อยู่เฉย เพียงแต่ไม่คิดมาตรการใหม่ในตอนนี้ เพราะยังไม่ถึงเวลา ต้องรอดูผลจาก 10 มาตรการก่อน ขณะเดียวกันนายกฯยังมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลเรื่องราคาสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกรณีจะขอขึ้นราคาสินค้า คงต้องมาดูว่าต้นทุนเกิดขึ้นเป็นเท่าไหร่อย่างไร และขึ้นได้แค่ไหน” เลขาฯสภาพัฒน์กล่าว

 

สำหรับสถานการณ์สงครามรัสเซียกับยูเครนประเมินไว้ 2 สถานการณ์ คือ รัสเซียยึดได้หมด และการสู้รบยุติจะมีมาตรการแซงก์ชั่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และสถานการณ์ที่ 2 รัสเซียยังยึดไม่ได้ ยังมีการสู้รบ และมีมาตรการแซงก์ชั่นออกมาต่อเนื่องเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะประเมินว่าจะออกมาเป็นสถานการณ์นี้ แต่ไม่มีการประเมินว่าสงครามจะยุติเมื่อไหร่

 

“ถามว่าหากยืดเยื้อนานจะมีแผนสำรองหรือไม่ ณ เวลานี้ยังไม่มี ต้องประเมินไปตามสถานการณ์ ทุกหน่วยงานด้านเศรษฐกิจก็หารือกันว่า ถ้ายืดเยื้อไปเรื่อยๆ มีผลกระทบราคาน้ำมัน ราคาพลังงานผันผวน ตอนนี้ราคาน้ำมัน 100-110 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ถือว่าทรงตัวอยู่ประมาณนี้ ยังไม่มีแนวโน้มพุ่งไปมากกว่านี้ แต่ถ้ารบไปเรื่อยๆ การจำหน่ายน้ำมันยังไปได้ หรืออยู่ดีๆ ลีสแซงก์ชั่นน้ำมันของรัสเซียออกไป ราคาน้ำมันจะไหลกลับไประดับต่ำลงกว่านี้ แต่ถ้าเกิดยังรบกันอยู่ ยังมีแซงก์ชั่นไม่ให้รัสเซียขายน้ำมัน ราคาน้ำมันจะอยู่ประมาณนี้ ถ้าไม่มีแซงก์ชั่นอะไรเพิ่มเติม ณ เวลานี้ 10 มาตรการที่มีอยู่ มาดูว่าช่วยได้แค่ไหนและต้องมีอะไรเพิ่ม” นายดนุชากล่าว

 

เลขาฯสภาพัฒน์ย้ำว่า สถานการณ์ทั้งโลกเวลานี้ สถานการณ์ไม่ปกติ ไม่ว่าประเทศไหน เพราะมีเรื่องโรคระบาด สงคราม ราคาน้ำมัน มันเป็นวิกฤตทุกประเทศโดนเหมือนกันหมด เมื่อเป็นวิกฤตเราคนไทยต้องช่วยกัน ต้องปรับตัว ไม่ใช่มีวิกฤตแบบนี้แล้วยังทำตัวเหมือนเดิม ต้องประหยัดขึ้น จะมาโวยวายว่ารัฐบาลไม่ช่วยอะไร ทุกคนต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ภาวะปกติ ไม่ใช่แค่ประเทศไทย เป็นกันทั้งโลก ต้องช่วยกัน

 

ฉะนั้นที่บอกว่า “พฤษภาคม” สินค้าจะแพงขึ้น จากการที่รัฐไม่คุมน้ำมันนั้น เป็นการคาดการณ์ในแง่เลวร้ายที่สุด เพราะไม่จำเป็นที่น้ำมันขึ้นแล้ว สินค้าต้องขึ้นราคา เพราะต้นทุนแต่ละสินค้าต่างกัน

 

แม้เลขาฯสภาพัฒน์จะมีมุมมองอย่างนั้น

แต่ในความเป็นจริง ณ ปัจจุบันขณะ กระทรวงพาณิชย์ที่มีหน้าที่กำกับ ควบคุมราคาสินค้า กำลังสาละวนกับการแก้ปัญหา ขอความร่วมมือให้ตรึงราคา

นั่นหมายความว่า การคาดการณ์ในแง่ดี

ไม่สอดคล้อง ความจริง ที่ดำรงคงอยู่ สินค้าพาเหรดขึ้นราคา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง