รีเซต

วิกฤตศรัทธาประกันชีวิต ตัวแทน-ตัวท็อป ล้มระบบ เสียหายทะลุ 128 ล้าน

วิกฤตศรัทธาประกันชีวิต ตัวแทน-ตัวท็อป ล้มระบบ เสียหายทะลุ 128 ล้าน
TNN ช่อง16
11 ธันวาคม 2568 ( 15:36 )
11

กรณีตัวแทนประกันชีวิตระดับผลงานสูงที่ถูกตรวจพบว่ามียอดชำระเบี้ยจำนวนมากไม่ปรากฏในระบบบริษัท กลายเป็นประเด็นใหญ่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อผู้เอาประกันภัยเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะเมื่อพบว่ามูลค่าความเสียหายที่ผู้เอาประกันภัยรวบรวมกันเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแตะระดับกว่า 128.7 ล้านบาท ตามข้อมูลเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่เคยเกิดขึ้นในกรณีตัวแทนรายบุคคลมาก่อน ข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากหลายฝ่ายทำให้เหตุการณ์นี้ถูกจับตามองทั้งในเชิงกฎหมาย เชิงระบบการขาย และเชิงความเชื่อมั่นของผู้ถือกรมธรรม์ทั่วประเทศ

ผู้เอาประกันภัยจำนวนมากให้ข้อมูลตรงกันว่าตัวแทนรายนี้มีผลงานสูงเป็นอันดับต้นขององค์กร เคยได้รับรางวัลบนเวทีระดับประเทศ และทำงานกับบริษัทมายาวนานกว่า 20 ปี ทำให้เกิดความไว้วางใจจากลูกค้าที่มองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาชีพ บางรายระบุว่าตัวแทนพูดถึง “แคมเปญพิเศษ” ที่เชื่อว่ามาจากการเป็นตัวแทนระดับสูง จึงทำให้ลูกค้าจำนวนหนึ่งเต็มใจชำระเบี้ยผ่านเขาโดยตรง ความสัมพันธ์เช่นนี้ยิ่งเพิ่มความน่าเชื่อถือให้การทำธุรกรรม และเป็นเหตุผลที่ลูกค้าหลายรายไม่ลังเลที่จะโอนเงินจำนวนมากเป็นประจำทุกปี

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตรวจสอบเอกสารจริง ผู้เอาประกันภัยพบว่ามีเบี้ยจำนวนหนึ่งไม่ได้ถูกป้อนเข้าสู่ระบบของบริษัทในบางช่วงเวลา บางรายได้รับเพียงใบเสร็จชั่วคราว หรือเพียงภาพถ่ายใบรับเงินที่ไม่ได้ออกโดยบริษัท ขณะที่บางรายไม่ได้รับเอกสารใดๆ เลย สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้เอาประกันภัยเริ่มตั้งข้อสงสัย และเมื่อตรวจสอบข้อมูลกรมธรรม์กับบริษัท จึงพบว่าความคุ้มครองบางส่วนไม่เป็นไปตามที่คิดว่าตนได้รับมาเป็นเวลาหลายปี ความคลาดเคลื่อนดังกล่าวกลายเป็นแรงจูงใจให้กลุ่มผู้เสียหายเริ่มรวมตัว ประสานข้อมูลซึ่งกันและกัน และพบว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมากกว่าที่แต่ละคนคาดคิดในตอนแรก

ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่ในเชิงตัวเลข แต่ยังขยายไปสู่ผลกระทบทางเศรษฐกิจส่วนบุคคลของผู้เสียหายจำนวนมาก หลายคนต้องการเวนคืนกรมธรรม์เพื่อนำเงินไปชำระภาระหนี้ เช่น บัตรเครดิตหรือสินเชื่อเร่งด่วน แต่ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะกรมธรรม์ถูกระงับเพื่อตรวจสอบ ทำให้เกิดความกดดันทางการเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้สูงอายุบางรายระบุว่าทำประกันชีวิตในช่วงปลายอายุงานเพื่อเป็นหลักประกันให้ครอบครัว แต่กลับพบว่าประวัติการชำระเบี้ยไม่สมบูรณ์ ซึ่งสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่ออนาคตของผู้รับผลประโยชน์

ด้านหน่วยงานกำกับดูแล สำนักงาน คปภ. ได้เปิดเผยอย่างชัดเจนว่าได้เริ่มการตรวจสอบก่อนที่เรื่องจะเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยทีมป้องกันการฉ้อฉลประกันภัยตรวจพบข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่ามีผู้เอาประกันภัยอย่างน้อย 12 ราย ทำการชำระเบี้ยให้กับตัวแทน แต่ยอดเงินไม่เข้าสู่บัญชีบริษัท การออกหนังสือเรียกตัวแทนเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงไม่ประสบผล ทำให้เข้าข่ายฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานตามมาตรา 80 ของ พ.ร.บ.ประกันชีวิต จากนั้นนายทะเบียนได้ออกคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตตัวแทนตามคำสั่งที่ 75/2568 และส่งเรื่องต่อให้พนักงานสอบสวน บก.ปอศ. เพื่อพิจารณาดำเนินคดีตามมาตรา 114/3 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการฉ้อฉลประกันภัย



ในระดับองค์กร คปภ. ยังได้เรียกบริษัทประกันชีวิตเข้าพบเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไข โดยเน้นให้บริษัทตรวจสอบผลกระทบทั้งหมดอย่างละเอียด รวมทั้งวิเคราะห์จุดอ่อนของระบบควบคุมภายใน ทั้งขั้นตอนการรับเบี้ย การบันทึกข้อมูล และระบบแจ้งเตือนผู้เอาประกันภัยหากมีเบี้ยค้างหรือข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง อีกทั้งบริษัทมีภาระหน้าที่ตามกฎหมายในการดูแลสิทธิของผู้เอาประกันภัยในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นจากตัวแทนในสังกัด ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของระบบประกันชีวิต

ในเชิงโครงสร้าง อุตสาหกรรมประกันชีวิตไทยยังอิงอยู่กับ “ระบบตัวแทน” เป็นกลไกหลักในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ ตัวแทนที่มีผลงานสูงจะได้รับรางวัล สิทธิพิเศษ และการยอมรับในวงกว้าง ซึ่งช่วยเสริมพลังการขาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ทำให้ลูกค้ามักพึ่งพาความน่าเชื่อถือส่วนบุคคลของตัวแทนมากกว่าการตรวจสอบข้อมูลผ่านระบบของบริษัท เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ความผูกพันเชิงความไว้วางใจอาจย้อนกลับมาเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้เสียหายได้รับผลกระทบหนักกว่าที่ควร

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือการรับชำระเบี้ยผ่านตัวแทนในรูปแบบเงินสด แม้ คปภ. จะกำหนดให้บริษัทต้องเน้นการชำระผ่านบัญชีบริษัทโดยตรง แต่ในทางปฏิบัติ ลูกค้าหลายรายยังเลือกจ่ายผ่านตัวแทนเนื่องจากความคุ้นเคย ความสะดวก ความเชื่อมั่น หรือแม้แต่ความเกรงใจ การรับเงินสดโดยไม่มีระบบบันทึกกลางจากบริษัท ทำให้ช่องว่างระหว่าง “วันที่ลูกค้าจ่าย” และ “วันที่บริษัทรับรู้” เกิดขึ้นได้ง่าย ซึ่งเป็นปัจจัยเปิดพื้นที่ให้ปัญหาเกิดขึ้นโดยไม่มีการตรวจเจอในทันที

ในช่วงหลังการพ้นสภาพของตัวแทน ผู้เสียหายจำนวนหนึ่งให้ข้อมูลว่าบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับงานขายหลายรายถูกพ้นสภาพการเป็นตัวแทนหรือหยุดปฏิบัติหน้าที่ แม้บางรายจะอ้างว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบเช่นกัน ประเด็นนี้สร้างคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการที่บริษัทใช้ในการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้อง และเป็นอีกด้านหนึ่งที่ผู้เอาประกันภัยต้องการคำอธิบายอย่างชัดเจนว่าแต่ละฝ่ายมีความรับผิดชอบในระดับใด

เมื่อมองภาพรวม ข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายแสดงให้เห็นว่ากรณีนี้มีองค์ประกอบหลายชั้น ตั้งแต่พฤติกรรมส่วนบุคคล การตรวจสอบภายในของบริษัท ช่องโหว่ในระบบรับชำระเบี้ย ความเชื่อมั่นที่ผู้เอาประกันภัยมีต่อตัวแทนระดับสูง ไปจนถึงมาตรฐานการกำกับที่ต้องออกมาตอบสนองเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบพร้อมกันจำนวนมาก ทั้งหมดนี้ทำให้การแก้ไขปัญหาต้องใช้เวลาพอสมควร และต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งบริษัท หน่วยงานกำกับ และตัวผู้เสียหายเอง

ประเด็นที่หลายฝ่ายจับตาคือแนวทางเยียวยาผู้เอาประกันภัยจากบริษัทต้นสังกัด รวมถึงมาตรฐานใหม่ที่ คปภ. เตรียมกำหนดเพื่อให้การรับเบี้ยเป็นไปอย่างปลอดภัยและตรวจสอบได้มากขึ้น เช่น การห้ามนายหน้าบุคคลธรรมดารับเงินสดโดยไม่ผ่านระบบ การกำหนดให้บริษัทมีระบบแจ้งเตือนผู้เอาประกันภัยเมื่อไม่มีเบี้ยเข้าบัญชี และการสร้างระบบติดตามสถานะกรมธรรม์ที่ผู้เอาประกันภัยตรวจได้เองแบบเรียลไทม์ ซึ่งหากดำเนินการได้จริง จะช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ในลักษณะนี้ในอนาคต

ท้ายที่สุด ผู้เอาประกันภัยคือผู้ที่ฝากความคุ้มครองชีวิตและอนาคตของครอบครัวไว้กับกรมธรรม์ การทำให้ระบบมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีแนวทางช่วยเหลือที่ชัดเจนเมื่อเกิดปัญหา เป็นสิ่งสำคัญต่อความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมประกันชีวิตโดยรวม ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันผลักดันอย่างจริงจังต่อไป

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง