"เข้าแถวตากแดด" โรงเรียนไทย "ทนร้อนไม่ได้=อนาคตดับ" สูตรสำเร็จที่ล้าสมัย?
เมื่อเร็ว ๆ นี้ โพสต์ของครูท่านหนึ่งที่ระบายความในใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักเรียนในปัจจุบัน ได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ โดยครูท่านนี้ได้เขียนว่า
"งง เด็กนักเรียนสมัยนี้มันเป็นอะไร เข้าแถวตากแดดร้องเพลงชาติ สวดมนต์ และฟังครูให้โอวาส บ่นกันว่าร้อน ถ้าเข้าแถวตากแดดฝึกความอดทนแค่นี้ ยังไม่ได้ โตขึ้นพวกเธอจะเรียนจบสูง ๆ หรือทำงานดี ๆ ได้ยังไง"
จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่าครูมีความกังวลต่อความสามารถในการอดทนของนักเรียน โดยมองว่าการทนยืนตากแดดเพื่อทำกิจกรรมหน้าเสาธงนั้น เป็นการฝึกความอดทนอย่างหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียนและการทำงานในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ในบริบทของสภาวะโลกร้อนที่อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกตินี้ การให้นักเรียนยืนตากแดดเป็นเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ร่างกายยังไม่แข็งแรง ดังนั้น โรงเรียนจึงควรทบทวนความเหมาะสมของกิจกรรมดังกล่าว และหาแนวทางในการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์
ครูท่านนี้ยังได้กล่าวต่อไปอีกว่า "สมัยครูเมื่อ 20 ปีที่แล้วแดด แรงกว่านี้อีกยังทนกันได้ แต่สมัยนี้ โดนแดดนิด ๆ หน่อย ๆ บ่นว่าร้อน ตำหนิติติงอะไรก็ไม่ค่อยได้ ผู้ปกครองก็เรื่องเยอะ ถ้าเรื่องเยอะกันนักทำไมไม่สอนเองจะส่งให้เข้าโรงเรียนทำไม เป็นห่วงอนาคตเด็กไทยสมัยนี้ ไม่รู้โตขึ้นจะเป็นยังไง"
ข้อความนี้สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของครูต่อเจตคติของนักเรียนและผู้ปกครองในปัจจุบัน ที่อาจมีแนวโน้มต่อต้านหรือไม่ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมของโรงเรียน อย่างไรก็ตาม การเปรียบเทียบกับสมัยก่อนโดยไม่คำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม อาจทำให้มองข้ามปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบันได้
ทักษะคิดวิเคราะห์ ปรับตัว สร้างสรรค์ คือกุญแจสู่ความสำเร็จ
ความอดทนต่อความยากลำบากเป็นคุณสมบัติที่น่ายกย่อง และมักถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในชีวิต อย่างไรก็ตาม ในโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความซับซ้อนมากขึ้น ความอดทนเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป
จากผลการศึกษาของ World Economic Forum (WEF) ในปี 2020 พบว่า ทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในอนาคต ได้แก่ การคิดวิเคราะห์และการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน ความคิดสร้างสรรค์และความคิดริเริ่ม ตลอดจนความยืดหยุ่นและการปรับตัว ซึ่งทักษะเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับการใช้ความคิดและสติปัญญามากกว่าความอดทนทางกายภาพ
ยกตัวอย่างเช่น ในวงการธุรกิจ Elon Musk ผู้ก่อตั้ง Tesla และ SpaceX ถือเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จคือ ความสามารถในการคิดนอกกรอบ การแก้ไขปัญหาที่ท้าทาย และความกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าการอดทนต่อความยากลำบาก
ในขณะเดียวกัน ในแวดวงการศึกษา สถาบันชั้นนำระดับโลกอย่าง Harvard University และ MIT ก็ได้ปรับเปลี่ยนหลักสูตรการเรียนการสอน โดยเน้นการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง ความคิดสร้างสรรค์ และการประยุกต์ใช้องค์ความรู้ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของโลกในศตวรรษที่ 21
ดังนั้น โรงเรียนในฐานะสถาบันหลักที่มีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมและพัฒนาศักยภาพของเด็กและเยาวชน จึงควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในอนาคต ควบคู่ไปกับการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม เพื่อให้นักเรียนสามารถเติบโตไปเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ พร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และวิธีการจัดการเรียนรู้เช่นนี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้บริหารการศึกษา ครู ผู้ปกครอง และตัวนักเรียนเอง ในการเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะเรียนรู้และปรับตัวไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้การจัดการศึกษาของไทยสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและสังคมได้อย่างแท้จริง
พัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 สู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
การมองว่าความอดทนต่อความร้อนเป็นปัจจัยชี้ขาดต่อความสำเร็จในอนาคต อาจเป็นการมองที่ไม่ครอบคลุมและตรงประเด็น
ในโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็ว สถาบันการศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวและคำนึงถึงความปลอดภัยและสุขภาพของนักเรียนเป็นสำคัญ การปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือเวลาในการจัดกิจกรรมหน้าเสาธง เพื่อหลีกเลี่ยงช่วงที่อากาศร้อนจัด จึงเป็นทางออกที่เหมาะสมและแสดงถึงความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่โรงเรียนควรมุ่งเน้นและพัฒนา คือ ทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการทำงานในอนาคต เช่น การคิดวิเคราะห์ การแก้ไขปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ และการปรับตัว เพราะทักษะเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้นักเรียนสามารถเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ และประสบความสำเร็จในที่สุด
อย่างไรก็ดี การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และความอดทนอดกลั้น ก็ยังคงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและจำเป็นต่อการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ดังนั้น โรงเรียนจึงควรจัดการเรียนรู้ที่สมดุล ทั้งในด้านพุทธิศึกษา จริยศึกษา และพลศึกษา เพื่อบ่มเพาะให้นักเรียนเป็นคนเก่ง ดี และมีความสุข พร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต
ท้ายที่สุด การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นครู นักเรียน ผู้ปกครอง และผู้กำหนดนโยบาย ต่างเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน ยอมรับการเปลี่ยนแปลงและพร้อมที่จะเรียนรู้ไปด้วยกัน เพื่อร่วมกันออกแบบการศึกษาที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและสังคมได้อย่างแท้จริง โดยไม่ลืมที่จะคำนึงถึงความปลอดภัยและสุขภาวะของเด็ก ๆ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติเป็นสำคัญ
ภาพ Getty Images