รีเซต

นายกฯ "สิงคโปร์" เดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำ ลงทุนเพิ่มการศึกษาปฐมวัย อุดช่องว่าง

นายกฯ "สิงคโปร์" เดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำ  ลงทุนเพิ่มการศึกษาปฐมวัย อุดช่องว่าง
TNN ช่อง16
25 กันยายน 2568 ( 09:58 )
11

นายกฯ สิงคโปร์ ให้คำมั่นเดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำ หลังพบดัชนีสะท้อนว่าช่องว่างรายได้กว้างกว่าที่เคยประเมินไว้ เดินหน้าลงทุนด้านการศึกษา


สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าลดความเหลื่อมล้ำในประเทศ หลังจากมีการปรับวิธีการคำนวณดัชนีจีนี (Gini coefficient) ใหม่ ซึ่งสะท้อนว่าช่องว่างรายได้กว้างกว่าที่เคยประเมินไว้ แต่ยังคงมีแนวโน้มแคบลง


ทั้งนี้รัฐบาลสิงคโปร์ได้ปรับวิธีวัดดัชนีจีนี โดยนับรวมรายได้จากการเช่าและการลงทุนเพิ่มเข้าไปด้วย ไม่ใช่เพียงแค่การนับแต่รายได้จากการทำงานเหมือนที่ผ่านมา โดยผู้นำของสิงคโปร์ ได้ออกมากล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2568 ว่าตัวเลขจีนีใหม่ออกมาสูงกว่าเดิม โดยตัวเลขล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 0.38 จาก 0.36 ในปี 2567 แต่ก็เป็นสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้แล้ว เพราะความมั่งคั่งโดยทั่วไปมักกระจายไม่เท่ากันมากกว่าค่าจ้าง แต่อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญ คือ การพบว่าแนวโน้มยังคงลดลงเรื่อย ๆ


เขาระบุว่า ความเหลื่อมล้ำในสิงคโปร์กำลังลดลง และเรามุ่งมั่นจะทำให้เป็นเช่นนั้นต่อไป พร้อมยอมรับว่าปัจจัยเสี่ยง เช่น ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะเติบโตเต็มที่ และสังคมสูงวัย อาจทำให้การเติบโตของประเทศชะลอตัว


เขาเปรียบเทียบว่าในหลายประเทศ มีปัญหาความเหลื่อมล้ำฝังรากลึกและมีการผูกขาดสิทธิพิเศษ โดยระบุว่าสิ่งแรกที่เราจะทำคือทำให้บันไดเคลื่อนที่ (escalator) ยังคงเดินต่อ และช่วยให้ชาวสิงคโปร์ทุกคนบรรลุศักยภาพสูงสุด เพื่อแก้ไขความกังวลของประชาชนต่อช่องว่างรายได้และความมั่งคั่ง


โดยสิงคโปร์จะเดินหน้าลงทุนเพิ่มเติมในด้านการศึกษาปฐมวัย เพื่ออุดช่องว่างตั้งแต่เริ่มต้น เนื่องจากครอบครัวที่มั่งคั่งมักสามารถให้โอกาสแก่บุตรหลานได้มากกว่า โดยเด็กจากครอบครัวรายได้น้อยจะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในโรงเรียน 




นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ กล่าวด้วยว่า เขารู้ดีว่าพ่อแม่หลายคนยังรู้สึกว่าการศึกษาเป็นการแข่งขันที่เข้มข้น แต่เราต้องก้าวข้ามจากระบบคุณธรรมที่วัดกันแค่ผลการเรียน ไปสู่ระบบที่กว้างขวางและครอบคลุมมากขึ้น


อย่างไรก็ตามสิงคโปร์นับเป็นหนึ่งในเมืองที่มั่งคั่งที่สุดในโลก และพยายามรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมความเหลื่อมล้ำและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น โดยไม่เก็บภาษีจากคนรวยมากจนเกินไป ซึ่งรัฐบาลได้ขึ้นภาษีอสังหาริมทรัพย์และรถยนต์หรูในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็เจอกับคำเตือนว่าหากรัฐบาลเข้มงวดเรื่องภาษีหนักเกินไป อาจทำให้สิงคโปร์เสียเปรียบในการแข่งขันกับเมืองอื่นๆ ที่มีความต้องการดึงดูดเศรษฐีต่างชาติเข้าสู่ประเทศ 


นักวิจารณ์บางส่วนชี้ว่าระบบคุณธรรม (meritocracy) ไม่สามารถสร้างผลดีได้เหมือนกับในอดีตแล้ว โดยเฉพาะในช่วงหลังได้รับเอกราชปี 1965 และการศึกษาเคยเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมและเปิดโอกาสให้ผู้คนก้าวสู่ความสำเร็จ ตัวอย่างเช่น ตัวของนายลอว์เรนซ์ หว่องเองที่เติบโตจากครอบครัวฐานะธรรมดาแล้วสามารถก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่สำหรับปัจจุบันนี้ เด็กจากครอบครัวร่ำรวยมักได้เปรียบตั้งแต่เริ่มต้นมากกว่า 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง