เอกสารภายในเผยแซม อัลท์แมนยอมรับ OpenAI อาจกำลังเพลี่ยงพล้ำหลัง Gemini 3 Pro ทวงบัลลังก์ AI

เว็บไซต์ Winbuzzer รายงานข่าวพบเอกสารภายใน (Internal Memo) ของบริษัท OpenAI รั่วไหลออกมาสู่สาธารณะเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเผยคำเตือนที่น่าตกใจจากแซม อัลท์แมน (Sam Altman) ซีอีโอของบริษัท โดยเขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า บริษัทอาจกำลังเพลี่ยงพล้ำในการแข่งขัน และอาจต้องพบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ข้อความภายในนี้สะท้อนถึงความเป็นจริงที่น่ากังวลเบื้องหลังฉากความสำเร็จ เมื่อบริษัทคู่แข่งรายใหญ่อย่างบริษัท Google ได้ทวงคืนความเป็นผู้นำด้านประสิทธิภาพ AI ด้วยการเปิดตัวโมเดล Gemini 3 Pro ที่หลายคนเชื่อว่าเหนือกว่าโมเดลล่าสุดของบริษัท OpenAI อย่างชัดเจน
การยอมรับความพ่ายแพ้ทางเทคนิค และภาวะสงคราม
การยอมรับของแซม อัลท์แมน (Sam Altman) ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับบริษัท OpenAI ที่เคยถูกยกย่องให้เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม AI มาโดยตลอด โดยเขาได้ยอมรับกับทีมงานโดยตรงว่า "บริษัท Google ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมเมื่อเร็ว ๆ นี้ในทุกด้าน" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน Pre-training ซึ่งเป็นรากฐานของโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพ
แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ระบุว่า "สถานะของบริษัท OpenAI ในปัจจุบัน คือ การต้องวิ่งไล่ตามอย่างรวดเร็ว (Catching up fast) และต้องมุ่งเน้นไปที่การแข่งขัน แม้ว่าจะต้องตามหลังไปชั่วคราวในขณะนี้ก็ตาม"
โดยมุมมองของแซม อัลท์แมน (Sam Altman) สอดคล้องกับผลการทดสอบ Benchmark หน่วยงานอิสระที่แสดงให้เห็นว่า Gemini 3 Pro สามารถนำหน้า GPT-5.1 โมเดลปัญญาประดิษฐ์รุ่นใหม่ของ OpenAI ได้อย่างชัดเจนในงานด้าน การใช้เหตุผล (Reasoning) และการเขียนโค้ด (Coding) ซึ่งเป็นการลบล้างจุดแข็งที่ OpenAI ยึดครองมาอย่างยาวนาน
เอกสารดังกล่าวจึงทำหน้าที่เป็นเหมือนการรีเซ็ตทางจิตวิทยาสำหรับพนักงาน โดยเปลี่ยนบริษัทจากแนวคิดผู้ชนะ (Default Winner) ไปสู่การตั้งรับในภาวะสงคราม และแซม อัลท์แมน (Sam Altman) ได้เตือนพนักงานโดยตรงว่า "เราไม่ได้เป็นอมตะ (We are not invincible)" ซึ่งสร้างความหวั่นวิตกต่อความมั่นใจภายในองค์กรเป็นอย่างยิ่ง
วิกฤตการณ์ทางการเงินจากการเติบโตสู่ความซบเซา
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดสำหรับบริษัท OpenAI คือ การคาดการณ์รายได้ฉบับปรับปรุง ซึ่งระบุว่าอัตราการเติบโตของรายได้อาจชะลอตัวลงเหลือเพียง 5-10% ภายในปี 2026 ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดตัวเลขดังกล่าวแสดงถึงการชะลอตัวอย่างหายนะเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตสามหลักที่เคยผลักดันให้รายได้สูงถึง 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 455,000 ล้านบาท ในปี 2025
การคาดการณ์นี้ได้ก่อให้เกิดความกังวลอย่างหนักต่ออัตราการเผาเงิน (Burn rate) หรือการลงทุนของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการคาดการณ์การขาดทุนจากการดำเนินงานที่อาจสูงถึง 74,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 2.401 ล้านล้านบาท ภายในปี 2028 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คู่แข่งรายอื่น ๆ อย่างเช่น บริษัท Anthropic กำลังมุ่งหน้าสู่การทำกำไร
ความได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่ Google มีเหนือกว่า
นักวิเคราะห์และวิศวกรได้ถกเถียงกันว่าบริษัท Google มีความได้เปรียบเชิงโครงสร้างที่บริษัท OpenAI ไม่สามารถสู้ได้ในระยะยาว ข้อได้เปรียบที่สำคัญ คือ Vertical Integration หรือการรวมโครงสร้างในแนวดิ่งอย่างครบวงจร โดยบริษัท Google เป็นเจ้าของตั้งแต่ชิป (TPU), Data Center, Cloud, โมเดล AI ไปจนถึงแอปพลิเคชันปลายทาง ทำให้บริษัท Google ไม่ต้องจ่าย "Nvidia Tax" หรือส่วนต่างราคาชิปราคาแพงเหมือนที่บริษัท OpenAI ต้องพึ่งพาการเช่าโครงสร้างพื้นฐานจากภายนอก
นอกจากนี้ Ecosystem ที่แข็งแกร่งของบริษัท Google คือ พลังในการผสานรวม (integration) ที่บริษัท OpenAI เทียบไม่ติด เนื่องจากผู้ใช้ส่วนใหญ่สนใจใช้อะไรสะดวกกว่ามากกว่าว่าโมเดลไหนฉลาดกว่าเพียงเล็กน้อย การที่ Google ฝังปัญญาประดิษฐ์ Gemini ลงในบริการต่าง ๆ ดั้งเดิม เช่น Google Docs, Android หรือ Chrome จึงถือเป็นความได้เปรียบที่สำคัญที่สุด และในขณะที่บริษัท OpenAI ต้องเผาเงินนักลงทุนปีละมหาศาลเพื่อรันเซิร์ฟเวอร์ แต่บริษัท Google กลับมีธุรกิจ Search และ Ads ที่ทำกำไรในระดับแสนล้านมาหล่อเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัท Google สามารถยืนหยัดใน สงครามราคา (Price War) ได้นานกว่ามาก
โดยสรุป ข้อความภายในของแซม อัลท์แมน (Sam Altman) ได้ตอกย้ำถึงความเชื่อที่ว่า ผู้ชนะในระยะยาวอาจไม่ใช่ผู้ที่มีโมเดลที่ฉลาดที่สุด แต่คือ ผู้ที่มีต้นทุนคอมพิวเตอร์ที่ถูกที่สุด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ทำให้บริษัท OpenAI ที่ไม่มี Ecosystem ของตัวเองและต้องพึ่งพาคู่ค้าอย่างบริษัท Microsoft และ Nvidia อยู่ในสถานะที่น่าเป็นห่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
บริษัท OpenAI ในขณะนี้เปรียบเสมือนบริษัทสตาร์ตอัปที่เคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี แต่จู่ ๆ ก็พบว่าคู่แข่งรายใหญ่กว่าและมีทรัพยากรครบวงจรอย่างเช่น บริษัท Google ได้สร้างทางด่วนของตัวเองและแซงหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทเดิมต้องกลับไปใช้ถนนธรรมดาพร้อมแบกภาระค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าในการแข่งขันที่ดุเดือดนี้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
