อนุทิน หนุน อภ.ผลิตโมลนูพิราเวียร์รักษาโควิด ปลัด พณ.ยันขอสิทธิบัตรยาต้องตาม กม.
วันนี้ (7 เมษายน 2565) น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยถึงการประชุม บอร์ด สปสช. ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธาน เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 ว่า ตามที่ได้มีข่าวว่าบริษัทยาข้ามชาติแห่งหนึ่งแจ้งว่า ได้ยื่นสิทธิบัตรยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และได้ขอให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) หยุดผลิตหรือนำเข้ายาโมลนูพิราเวียร์ชื่อสามัญนั้น ในฐานะที่ทำงานด้านการเข้าถึงยา และสิทธิบัตรยาจึงได้ร่วมกับนักวิชาการ ภาคประชาสังคม ในนามเครือข่ายระหว่างประเทศเพื่อตรวจสอบในประเด็นดังกล่าว พบว่ายาโมลนูพิราเวียร์มีสิทธิบัตร 2 ใบในต่างประเทศ ได้แก่ 1.Molnupiravir and analogues (Markush structure) and their use as antivirals และ 2.Molnupiravir compound and its use as antiviral แต่สิทธิบัตรทั้ง 2 ใบนี้ ไม่ได้ถูกนำเข้ามาขอสิทธิบัตรในประเทศไทย
“อย่างไรก็ดี บริษัทรายดังกล่าวอ้างว่าได้ยื่นคำขอสิทธิบัตรที่คาดว่าเป็นไปได้นั้น จะเป็นเรื่องการขอใช้ยา ซึ่งในขณะนี้ยังไม่สามารถตรวจสอบการขอขึ้นทะเบียนตามที่บริษัทฯ อ้างไว้ได้ แต่หากเป็นเรื่องการใช้ยานั้น กฎหมายสิทธิบัตรไทยไม่อนุญาตให้สิทธิบัตรตรงนี้” น.ส.กรรณิการ์ กล่าวและว่า สาเหตุที่มีการเน้นย้ำในประเด็นนี้ เป็นเพราะยาที่สั่งซื้อจากบริษัทข้ามชาติจะมีราคาเฉลี่ย 10,000 บาทต่อคอร์สการรักษา ขณะเดียวกัน หาก อภ.สั่งซื้อยาชนิดเดียวกันจากบริษัทในประเทศอินเดีย หรือสามารถผลิตได้เองในประเทศไทย จะมีราคาเฉลี่ย 800 บาทต่อคอร์สฯ เท่านั้น จึงขอให้รัฐมนตรีว่าการ สธ. และรัฐบาลยืนยันอย่างแข็งขันให้ อภ. สามารถเดินหน้าผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ต่อไป อย่าเชื่อเพียงคำขู่ของบริษัทยาข้ามชาติว่า มีคำขอทั้งที่ไม่มีข้อพิสูจน์
ด้าน นายอนุทิน กล่าวว่า สิ่งที่ น.ส.กรรณิการ์ได้เสนอนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะสามารถซื้อยาได้ในราคา 800 บาทต่อคอร์สฯ หรือต่ำกว่านั้นได้ ส่วนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ก่อนหน้านั้นอนุมัติการสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ จำนวน 200,000 คอร์สฯ หรือประมาณ 10 ล้านเม็ด จากจำนวน 2 ล้านคอร์สฯ ซึ่งในขณะนั้นเป็นช่วงที่ยังไม่มียาโมนูพิราเวียร์ใช้ในประเทศไทย และอาการทางกายภาพของผู้ป่วยบางรายปฏิเสธยาฟาวิพิราเวียร์
“สอดคล้องกันกับยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) จากบริษัท ไฟเซอร์ แต่ยาแพกซ์โลวิดมีเอกสาร มีการรายงานผู้ป่วย ฯลฯ ทำให้สามารถเจาะจงได้ว่าเป็นยาที่จะนำมารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งส่วนนี้ก็กำลังพิจารณา แต่ก็ได้มีการสั่งซื้อเบื้องต้นไปแล้ว จำนวน 50,000 คอร์สฯ โดยขณะนี้ อภ.กำลังเร่งในส่วนของยาโมลนูพิราเวียร์ รวมไปถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ได้รับนโยบายที่ชัดเจนว่า หากเป็นยาที่ใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินก็ต้องพิจารณาแบบสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย” นายอนุทิน กล่าวและว่า ขณะนี้ยังผลิตยาเองไม่ได้ ก็จำเป็นที่จะต้องไปซื้อยาที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่ขอให้คำยืนยันว่า ถ้ามีโอกาสซื้อได้ถูกเมื่อไร ก็ต้องเอาตรงนี้อยู่แล้ว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมบอร์ด สปสช.ได้รับทราบข้อห่วงใยและสถานการณ์ยาโมลนูพิราเวียร์และกระบวนการยื่นจดสิทธิบัตรยาในประเทศไทย ที่ดําเนินการภายใต้หลักการข้อกฎหมายโดยคํานึงถึงประโยชน์ของประชาชนเพื่อให้เข้าถึงยาที่จําเป็นอย่างเหมาะสม
โดย นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กล่าวในที่ประชุมฯ ว่า ยืนยันว่าการพิจารณาเรื่องสิทธิบัตรจะต้องเป็นไปตามข้อกฎหมายที่ถูกกำหนด และจะไม่มีการหักหลบ
“ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ กรณียาฟาวิพิราเวียร์ ที่ขณะนี้มีการผลิตใช้ในประเทศแล้ว ฉะนั้น ไม่ว่าจะมีการอ้างอย่างไร กฎหมายก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ขอยืนยันว่าการพิจารณาเป็นไปตามข้อกฎหมาย และคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมตามที่ระบุไว้ในข้อกฎหมายอย่างแน่นอน ขอเรียนว่า คำขอสิทธิบัตรไม่ได้เป็นเหตุที่จะนำมาห้าม สั่ง หรือบังคับคนอื่นว่าห้ามผลิต เนื่องด้วยเหตุที่ว่ามีการยื่นคำขอไว้แล้ว อันนี้ไม่มีผลทางกฎหมาย ตราบใดที่คำขอนั้นยังไม่ได้รับการจดทะเบียน แต่ว่าจะมีการนำไปขู่บอกว่าขอไปแล้ว ถ้าผลิตจะต้องจ่ายค่าเสียหาย อันนี้เป็นลักษณะคำขู่ แต่ไม่มีผลทางกฎหมายใดๆ ในการห้ามคนอื่นทำ ส่วนตัวคิดว่าการเข้าถึงยาของคนไทยเป็นสิ่งจำเป็น” นายบุณยฤทธิ์ กล่าวย้ำ