LH 'เมย์แบงก์' อัพกำไร-เป้าใหม่ ชี้ผลงาน 2H65 แกร่งกว่าครึ่งปีแรก
#LH #ทันหุ้น - บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ส่องหุ้น บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ชั้นนำยังคงเป็นหุ้นเด่นของฝ่ายวิจัยในกลุ่มอสังหาฯ โดยธุรกิจทั้งหมด ตั้งแต่อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์/โรงแรม มีผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจตั้งแต่ Q4/64 เรื่อยมา แม้จะมีต้นทุนที่สูงขึ้นจากเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจหลักยังมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งกำไรที่ดีจากบริษัทร่วมและแนวโน้มกำไรจากการขายห้องชุดในสหรัฐฯ อีกด้วย ทั้งนี้แนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลัง 65 น่าจะแข็งแกร่งกว่าครึ่งปีแรก 65 ในเกือบทุกด้าน ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายอิงวิธี SOTP ไปเป็นปี 66 ได้ราคาเป้าหมายใหม่เพิ่มเป็น 10.7 บาท
คาดยอดพรีเซลส์ Q3/65 ทำสถิติใหม่ จากการเปิดตัวใหม่ 8 โครงการมูลค่าประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 3/65 ยอดขายล่วงหน้ารายไตรมาสของ LH มีแนวโน้มที่จะแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่มากกว่า 9 พันล้านบาท ผลักดันยอดขายล่วงหน้า 9 เดือนแรกของปี 65 คิดเป็น +80% ของประมาณการทั้งปีที่ 3.1 หมื่นล้านบาท (+8% YoY) ตัวขับเคลื่อนการเติบโตที่สำคัญคืออุปสงค์ที่แข็งแกร่งสำหรับบ้านระดับบน ผนวกกับมูลค่าการเปิดตัวโครงการใหม่กลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ที่ 2.95 หมื่นล้านบาท (+50% YoY) ในปีนี้
ธุรกิจโรงแรมเฟื่องฟู ล่าสุดฝ่ายวิจัยได้ไปเยี่ยมชมโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าในพัทยาพร้อมรับฟังข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับธุรกิจการบริการโดยคุณกิตติ วรบรรพต กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช มอลล์ แอนด์ โฮเทล จำกัด (LH Mall & Hotel) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียนของ LH ผู้ดำเนินการ/จัดการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าของ LH และกอง REIT สองแห่งภายใต้กลุ่ม LH ยืนยันว่าธุรกิจฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังจากเปิดประเทศ เช่นเดียวกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่อย่าง Grande Centre Point Space Pattaya ซึ่งมีอัตราการเข้าพักมากกว่า 90% ด้วยราคาห้องพักระดับพรีเมียม คาดว่ารายได้ค่าบริการจะเติบโต 125% YoY ในปีนี้ to grow 125% YoYในปีนี้
เพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้นประมาณ 2% ต่อปีสำหรับปี 65-66 สะท้อนการฟื้นตัวของธุรกิจการบริการที่รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ อัพไซด์สำคัญคือมูลค่ากำไรจากการขายสินทรัพย์ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในสิ้นปี 65 ราคาเป้าหมาย (SOTP) ใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 10.7 บาท (จาก 10 บาท) หลังจากปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 66