MINTยุโรปเปิดเมือง ครึ่งหลังโรงแรมฟื้น
ทันหุ้น – MINT ชี้เร่งฉีดวัคซีนโควิดหนุนธุรกิจโรงแรมทั้งไทย-ยุโรปฟื้นตัวครึ่งปีหลัง 2564 ย้ำปิดดีลขายโรงแรมในช่วงไตรมาส 2-3/2564 ด้านธุรกิจอาหารแข็งแกร่ง ตั้งทีมพัฒนาเมนูตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า ย้ำดึง Know how SNP ต่อยอดงานบริการ นักวิเคราะห์ผลงานพลิกกลับมามีกำไรได้ในปี 2565 จากการธุรกิจโรงแรมที่ยุโรปจะฟื้นตัวได้เร็วในครึ่งปีหลัง มองเป้า 35 บาท
นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างทยอยปิดดีลการเจรจาขายโรงแรม 4-5 แห่งมูลค่ารวม 1-1.5 หมื่นล้านบาท ทั้งในรูปแบบขายและเช่ากลับมาบริหาร และรับจ้างบริหารต่อ เพื่อให้แบรนด์โรงแรมยังอยู่ในตลาดและไมเนอร์ยังมีรายได้จากสินทรัพย์นั้นๆ คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 2-3/2564
ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท และยังมี Working Cap อีกประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้บริษัทยังคงดำเนินการตามแผน Balance Sheet Management ทั้งการปรับลดต้นทุนการดำเนินงานลงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2564 กระแสเงินสดไหลออกต่อเดือนปรับลดลงเหลือ 1.1 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ 1.6 พันล้านบาทต่อเดือนในช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งยังมีแผนจะออกหุ้นกู้วงเงินรวม 6 พันล้านบาท ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564
“ทั้งกระแสเงินสดในมือ แผนบริหารจัดการทางการเงินจะสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทแม้ในระยะสั้นจะยังคงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก แต่การเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะในยุโรปที่ประชากรได้รับวัคซีนแล้วกว่า 70% ทำให้บริษัทมั่นใจว่าจะเห็นบรรยกาศการเดินทางท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2564 นี้”
*ท่องเที่ยวฟื้นครึ่งหลัง
โดยปัจจุบัน บริษัทสามารถปรับลดอัตราการทำกำไรของธุรกิจโรงแรมลงมาที่ระดับอัตราการจองห้องพักเฉลี่ยทั้งปีที่ 32-39% แม้ภาพรวม ณ สิ้นไตรมาส 1/2564 อัตราการจองห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 21% ทั้งนี้บริษัทคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะเห็นการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในทวีปยุโรป รวมถึงการทยอยเปิดประเทศไทย เริ่มที่จังหวัดภูเก็ตในเดือนมิถุนายนนี้
ขณะที่ธุรกิจอาหารสามารถทำกำไรได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากบริษัทตั้ง Innovation team เร่งพัฒนาปรับปรุงเมนูอาหารในทุกแบรนด์ของบริษัทให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม รวมถึงการปรับโปรโมชั่นอย่างสม่ำเสมอเพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
พร้อมกันนี้บริษัทจะร่วมกับบริษัท เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ SNP ซึ่งบริษัทเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 35.9589% ในการพัฒนาศักยภาพทั้งกระบวนการผลิตอาหาร ลดตุ้นการผลิต พัฒนารูปแบบการจัดส่งในระบบเดลิเวอรี่ รวมถึงนำข้อมูลลูกค้ามาพัฒนาต่อยอดงานบริการในอนาคต
*เชียร์ซื้อเป้า 35 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบรเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุถึง MINT ว่า ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 35.00 บาท อิง DCF (WACC ที่ 7%, terminal growth ที่ 2.5%) โดย MINT ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 ขาดทุนปกติอยู่ที่ -5.2 พันล้านบาท เป็นการขาดทุนเพิ่มขึ้น -64% จากปีก่อน และ -22% จากไตรมาสก่อน เป็นไปตามที่ตลาดและเราคาด เนื่องจากธุรกิจโรงแรมและอาหารได้รับผลกระทบจากการระบาดรอบ 2 ที่ยุโรปและไทย
ปรับประมาณการผลการดำเนินงานในปี 2564 ลง -14% จากการใส่การด้อยค่าสินทรัพย์ซึ่งเป็นรายการเพียงครั้งเดียวจำนวน 2.35 พันล้านบาท ขณะที่ขาดทุนปกติยังคงเดิมที่ -1.7 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ที่ขาดทุนปกติถึง -1.9 หมื่นล้านบาท ขณะที่คาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 จะยังขาดทุนต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานของ MINT จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ในปี 2565 จากการธุรกิจโรงแรมที่ยุโรปที่จะเริ่มให้มีการเที่ยวภายในกลุ่มประเทศหากมีการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วในช่วงกลางเดือนนี้
ราคาหุ้น underperform SET -6% ในช่วง 1 เดือน จาก COVID-19 รอบ 3 ขณะที่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เพราะ MINT จะได้รับผลกระทบน้อยกว่ากลุ่มฯ จากยุโรปที่มีการเร่งฉีดวัคซีนได้เร็ว ขณะที่ Valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯ ซื้อขาย EV/EBITDA ที่ 15x (-1.0SD below 10-yr average EV/EBITDA) เทียบกับ ERW และ CENTEL ที่ -0.5SD และ average EV/EBITDA