รีเซต

ย้อนปมเบี้ยวหนี้ สปสช.–รพ.มงกุฎวัฒนะ เปิดไทม์ไลน์การเบิกจ่ายที่กลายเป็นข้อขัดแย้ง

ย้อนปมเบี้ยวหนี้ สปสช.–รพ.มงกุฎวัฒนะ เปิดไทม์ไลน์การเบิกจ่ายที่กลายเป็นข้อขัดแย้ง
TNN ช่อง16
9 ตุลาคม 2568 ( 22:23 )
17

ย้อนปม สปสช.–รพ.มงกุฎวัฒนะ เมื่อข้อกล่าวหาเบี้ยวหนี้กลายเป็นประเด็นร้อน

กรณีความขัดแย้งระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ กลับมาเป็นที่จับตาอีกครั้ง หลังโรงพยาบาลออกมาอ้างว่า สปสช. “เบี้ยวหนี้” ไม่จ่ายค่าบริการรักษาพยาบาลให้ครบถ้วน 

ขณะที่ สปสช. ออกมาชี้แจงว่าไม่ได้เบี้ยวหนี้ และการดำเนินงานทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายและมติของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

โฆษก สปสช. ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ ระบุว่า การเบิกจ่ายงบประมาณให้โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ “บัตรทอง” ต้องเป็นไปตามระบบและรอบการจ่ายปกติ ซึ่งโปร่งใส ตรวจสอบได้ และอยู่ภายใต้ขอบเขตกฎหมายทุกประการ


ไทม์ไลน์ข้อพิพาทการเงินย้อนหลังหลายปี

เพื่อคลี่คลายความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน สปสช. ได้เปิดเผยข้อมูลการเบิกจ่ายย้อนหลังตั้งแต่ปีงบประมาณ 2563–2568 โดยระบุว่ามีการจ่ายเงินให้โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะครบทุกงวดตามสิทธิ์ ดังนี้

1. กรณีปีงบประมาณ 2563 ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ ระบุว่ามีจำนวน 13.2 ล้านบาทนั้น เป็นค้างชำระจากคลินิกชุมชนอบอุ่น ซึ่ง รพ.มงกุฎวัฒนะเป็นโรงพยาบาลรับส่งต่อให้คลินิกดังกล่าว แต่คลินิกถูก สปสช. ยกเลิกสัญญา จากสาเหตุการเบิกจ่ายงบประมาณไม่ถูกต้อง เมื่อปี 63 จึงทำให้คลินิกสิ้นสภาพการเป็นหน่วยบริการคู่สัญญากับ สปสช. และไม่ได้รับงบเหมาจ่ายรายหัวที่สปสช. จัดสรรอีก จึงทำให้ไม่มีเงินรายรับสำหรับการหักเพื่อจ่ายกรณีส่งต่อผู้ป่วยได้ ซึ่งมีโรงพยาบาลที่รับส่งต่อจำนวนหนึ่ง ประสบกับเหตุการณ์ในกรณีนี้เช่นเดียวกัน

โดยในกรณีนี้ มติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 64 ได้ยืนยันชัดเจนว่า สปสช. ไม่มีอำนาจและไม่สามารถนำเงินกองทุนไปจ่ายแทนคลินิกเอกชนที่พ้นสภาพแล้ว เนื่องจากผิดหลักเกณฑ์ และไม่มีกฎหมายรองรับ 

อย่างไรก็ตาม สปสช.ได้ดำเนินการ Clearing house เพื่อตามเงินจากคลินิกที่ยังสามารถชำระได้ และโอนให้โรงพยาบาลเป็นรอบ ๆ รวม 5 ครั้ง ซึ่ง รพ.มงกุฎวัฒนะ ได้เงินกลับคืนมาแล้ว 4.29 ล้านบาท คงเหลือ 8.92 ล้านบาท

2. ปีงบประมาณ 2566 สปสช. ได้จ่ายเงินให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ไปแล้วจำนวน 638.55 ล้านบาท ณ วันที่ 30 ก.ย. 66 (ซึ่งเป็นรายรับเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) และได้รับเพิ่มอีกจำนวน 2.1 ล้านบาท เนื่องจากในปีงบประมาณ 66 ในพื้นที่ กทม. หน่วยบริการมีการตรวจสอบกันเอง ผลการตรวจสอบ พบทั้งการจ่ายเพิ่มและถูกเรียกเงินคืน โดยในส่วนของ รพ.มงกุฎวัฒนะ ได้รับเงินเพิ่ม

3. ปีงบประมาณ 2567 สปสช. ได้จ่ายเงินให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ไปแล้วจำนวน 651.46 ล้านบาท ณ วันที่ 30 ก.ย. 67 (ซึ่งเป็นรายรับเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) โดย สปสช. จ่ายชดเชยค่าบริการสาธารณสุขให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ตามรอบการจ่าย 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย. 67 พบว่างบประมาณในรูปแบบงบประมาณปลายปิด อาจจะไม่เพียงพอ คณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพเขต (อปสข.) เขต 13 กทม. จึงมีมติให้จ่ายในรูปแบบ Point System หรือการคำนวณตามคะแนนบริการ และให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ต.ค. 67 จึงต้องมีการคำนวณใหม่ และประกอบกับมีการตรวจสอบกันเองของหน่วยบริการ ผลการคำนวณและตรวจสอบกันเองพบว่า รพ.มงกุฎวัฒนะ ต้องถูกเรียกเงินคืน 16 ล้านบาท หลังหักยอดเงินพึงได้ของ รพ.มงกุฎวัฒนะ จำนวน 22 ล้านบาท

4. ปีงบประมาณ 2568 สปสช. ได้จ่ายเงินให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ไปแล้วจำนวน 618.754 ล้านบาท ณ วันที่ 14 ก.ย. 68 (ซึ่งเป็นรายรับเงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) ที่ยังค้างจ่ายในช่วงของการบริการวันที่ 16-30 ก.ย. 68 มีดังนี้

- เงิน CR กลางของประเทศ หรือบริการกรณีเฉพาะ จำนวน 7.87 ล้านบาท

- เงิน OP REFER หรือการส่งต่อผู้ป่วยนอก จำนวน 3.1 ล้านบาท

- เงิน OP CAP หรือเงินเหมาจ่ายรายหัวผู้ป่วยนอก จำนวน 4.2 ล้านบาท

- เงิน OP CR หรือเงินผู้ป่วยนอกที่เป็นบริการกรณีเฉพาะ 5 รายการในพื้นที่ กทม. จำนวน 2.95 ล้านบาท

- เงินผู้ป่วยใน (IP) จำนวน 49.63 ล้านบาท รวม 67.75 ล้านบาท

ทั้งนี้ จากตัวเลขดังกล่าว เมื่อลบกับที่ต้องเรียกคืนในปี 67 จำนวน 16 ล้านบาท และมีกรณีที่ สปสช. ได้จ่ายล่วงหน้าให้ รพ.มงกุฎวัฒนะไปแล้ว 70 ล้านบาท ซึ่งหักคืนได้แล้ว 55 ล้านบาท เท่ากับคงเหลือ 15 ล้านบาท ที่ต้องเรียกคืน รวมเป็นเงิน 31 ล้านบาท ดังนั้น จึงเป็นเงินที่ สปสช. ต้องจ่ายให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ จำนวนเงิน 36.75 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประมวลผลข้อมูล และจะจ่ายให้ รพ.มงกุฎวัฒนะ ได้ภายในวันนี้ (9 ต.ค. 68)

แผนรองรับผู้ป่วย หากโรงพยาบาลหยุดบริการ

สำหรับผู้มีสิทธิบัตรทองกว่า 47,000 คน ที่ลงทะเบียนกับโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ สปสช. ยืนยันว่ามีแผนสำรองรองรับ หากโรงพยาบาลหยุดให้บริการ โดยได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ และประสานมูลนิธิเส้นด้ายเพื่อจัดรถรับ–ส่งผู้ป่วยไปยังหน่วยบริการใหม่

พร้อมกันนี้ ยังเตรียมหน่วยบริการระดับปฐมภูมิและโรงพยาบาลคู่สัญญาในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อให้ประชาชนยังคงได้รับบริการโดยไม่สะดุด หากมีข้อสงสัยสามารถโทรสายด่วน 1330 ของ สปสช. ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

จากข้อมูลทั้งหมด สปสช. ยืนยันว่าไม่ได้เบี้ยวหนี้ และยังคงดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด ขณะที่งวดล่าสุดมูลค่า 36.75 ล้านบาทอยู่ในขั้นตอนดำเนินการตามรอบงบประมาณ ส่วนประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองจะยังได้รับบริการต่อเนื่องจากหน่วยบริการที่เตรียมรองรับไว้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง