รีเซต

ทำไมแรงงานกัมพูชาถึงยังเลือก “ข้ามแดนผิดกฎหมาย” มากกว่ารอเปิดด่าน?

ทำไมแรงงานกัมพูชาถึงยังเลือก “ข้ามแดนผิดกฎหมาย” มากกว่ารอเปิดด่าน?
TNN ช่อง16
9 ตุลาคม 2568 ( 10:18 )
18

เปิดตัวเลขลักลอบข้ามแดน 2568 ท่ามกลางวิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชา

ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาที่ยืดเยื้อมาตลอดปี 2568 ได้นำมาซึ่งปรากฏการณ์การลักลอบข้ามแดนที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากรัฐบาลทั้งสองประเทศตัดสินใจปิดด่านชายแดนอย่างเป็นทางการเพื่อใช้เป็นเครื่องมือกดดันทางเศรษฐกิจ ประชาชนจำนวนมากกลับต้องเผชิญกับความจำเป็นในการหาเลี้ยงชีพ จนต้องเสี่ยงชีวิตข้ามแดนผ่านช่องทางธรรมชาติ

ตัวเลขจากหน่วยเฉพาะกิจอรัญประเทศ กองกำลังบูรพา เผยให้เห็นขนาดของปัญหาที่น่าตกใจ เพียงช่วงสามเดือนระหว่างวันที่ 17 มิถุนายนถึง 25 กันยายน 2568 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ลักลอบข้ามแดนได้ถึง 140 ครั้ง คิดเป็นจำนวนผู้ต้องหารวม 870 คน ตัวเลขดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าเฉลี่ยแล้วมีการจับกุมวันละเกือบสองครั้ง หรือมีผู้ถูกจับกุมเฉลี่ยวันละเกือบ 10 คน

การวิเคราะห์ทิศทางการเคลื่อนย้ายพบว่า ส่วนใหญ่ของการลักลอบข้ามแดน เป็นการเข้าสู่ประเทศไทย โดยมีการจับกุมฝั่งขาเข้า 107 ครั้ง คิดเป็นผู้ต้องหา 626 คนหรือราวร้อยละ 72 ของการจับกุมทั้งหมด ขณะที่ฝั่งขาออกมีการจับกุม 33 ครั้ง ผู้ต้องหา 246 คน ข้อมูลนี้บ่งบอกถึงแรงดึงดูดทางเศรษฐกิจของประเทศไทยที่ยังคงมีอยู่ แม้จะอยู่ในภาวะความขัดแย้งก็ตาม

เมื่อพิจารณาองค์ประกอบด้านสัญชาติของผู้ถูกจับกุม พบว่าชาวกัมพูชาเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดจำนวน 472 คน คิดเป็นร้อยละ 54 ตามมาด้วยชาวไทย 354 คน หรือร้อยละ 41 ที่น่าสนใจคือยังมีชาวต่างชาติจากประเทศอื่นปะปนอยู่ด้วย อาทิ ชาวเมียนมา 24 คน ชาวจีน 6 คน ชาวไนจีเรีย 6 คน ชาวบังกลาเทศ 7 คน รวมถึงชาวปากีสถานและเซียร์ราลีโอน การปรากฏตัวของชาวต่างชาติหลากหลายสัญชาติเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าเส้นทางลักลอบข้ามแดนไทยกัมพูชาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการเคลื่อนย้ายแรงงานระดับภูมิภาค

ช่วงเวลาหลังเหตุการณ์การสู้รบในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม 2568 ยิ่งเห็นการเพิ่มขึ้นของการลักลอบข้ามแดนอย่างชัดเจน โดยมีการจับกุมเพิ่มเติมอีก 35 ครั้ง จำนวน 158 คน ซึ่งเป็นชาวกัมพูชาทั้งหมด พื้นที่อำเภออรัญประเทศกลายเป็นจุดร้อนสำคัญด้วยการจับกุม 23 ครั้ง ผู้ต้องหา 112 คน ตามมาด้วยอำเภอตาพระยา อำเภอวัฒนานคร อำเภอโคกสูง และอำเภอคลองหาด

หากขยายภาพรวมทั้งปี 2568 การประมาณการจากข้อมูลที่มีอยู่บ่งชี้ว่าน่าจะมีการจับกุมมากกว่า 200 ครั้ง และมีผู้ถูกจับกุมมากกว่า 1,200 คน แบ่งเป็นชาวกัมพูชามากกว่า 700 คน และชาวไทยมากกว่า 400 คน ตัวเลขเหล่านี้อาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง เนื่องจากยังมีผู้ที่ลักลอบข้ามแดนสำเร็จโดยไม่ถูกจับกุมอีกจำนวนมาก

แรงผลักดันที่ทำให้ชาวกัมพูชาต้องเสี่ยงชีวิตข้ามแดนมาทำงานในประเทศไทยมีรากฐานมาจากปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ การว่างงาน รายได้ที่ไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพ และการขาดการสนับสนุนจากภาครัฐหลังถูกส่งกลับประเทศ หลายคนเล่าว่าเมื่อกลับไปแล้วไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ จึงจำเป็นต้องหาทางกลับมาทำงานในประเทศไทยอีกครั้ง แม้จะต้องใช้วิธีการผิดกฎหมายก็ตาม

ในทางกลับกัน ชาวไทยที่ถูกจับกุมขณะลักลอบข้ามแดนส่วนใหญ่กำลังหนีออกจากการทำงานผิดกฎหมายในฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะงานในบ่อนพนันและคอลเซ็นเตอร์ หลายคนถูกหลอกลวงไปทำงานด้วยคำมั่นสัญญาเรื่องรายได้สูง แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าถูกกักขังและบังคับให้ทำงานในสภาพที่ย่ำแย่

ต้นทุนการลักลอบข้ามแดนไม่ได้มีราคาถูกเลย ชาวกัมพูชาต้องจ่ายค่าข้ามแดนราว 3,000 ถึง 5,000 บาทต่อคน บวกกับค่าผู้นำพาอีก 3,000 ถึง 6,000 บาท รวมแล้วต้องใช้เงิน 6,000 ถึง 11,000 บาทต่อคน จำนวนเงินนี้ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยในกัมพูชา แต่หลายคนยังคงยอมจ่ายเพราะมองว่าเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

นอกจากการลักลอบขนคนแล้ว เจ้าหน้าที่ยังพบการลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมายควบคู่ไปด้วย ตั้งแต่ซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือ รถจักรยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค ไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ การลักลอบขนสินค้าเหล่านี้บ่งบอกถึงความต้องการทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีอยู่ระหว่างประชาชนทั้งสองฝั่งแดน แม้จะอยู่ในภาวะที่รัฐบาลทั้งสองประเทศมีความขัดแย้งกัน

วิกฤตการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาในปี 2568 ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อช่องทางการค้าและการเดินทางที่ถูกกฎหมายถูกปิดกั้น ประชาชนผู้ต้องการเอาตัวรอดจะหาทางออกด้วยวิธีการใดก็ตามที่เป็นไปได้ การลักลอบข้ามแดนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่เพียงแต่สร้างปัญหาด้านความมั่นคงให้กับทั้งสองประเทศ แต่ยังเป็นการเสี่ยงชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ต้องการเพียงแค่หาเลี้ยงครอบครัว

สถานการณ์ดังกล่าวตั้งคำถามสำคัญว่า นโยบายการปิดด่านชายแดนเพื่อกดดันทางเศรษฐกิจนั้นประสบความสำเร็จจริงหรือไม่ เมื่อผลที่ตามมาคือประชาชนระดับรากหญ้าต้องแบกรับความทุกข์ยาก ขณะที่การค้าขายและการเคลื่อนย้ายแรงงานยังคงดำเนินต่อไปในรูปแบบใต้ดิน พร้อมกับความเสี่ยงและต้นทุนที่สูงขึ้น

การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนคงต้องมองให้ลึกกว่ามาตรการควบคุมชายแดนเพียงอย่างเดียว การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนทั้งสองฝ่าย การเปิดช่องทางการทำงานที่ถูกกฎหมาย และการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยการเจรจา น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการปล่อยให้ประชาชนต้องเสี่ยงชีวิตลักลอบข้ามแดนเพื่อความอยู่รอดต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง