TU ไตรมาส 3 กำไร 1.2 พันล้าน อัตรากำไรขั้นต้น 18.4%
#TU #ทันหุ้น – บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3 โดยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,206ล้านบาท เติบโตอยู่ที่ระดับ 17.2เปอร์เซ็นต์ และกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4เปอร์เซ็นต์ สาเหตุหลักจากราคาวัตถุดิบหลักที่ปรับตัวลดลง การปรับรายการสินค้าโดยเน้นสินค้าที่ทำกำไร รวมถึงแผนและมาตรการต่างๆ ในการเพิ่มระดับความสามารถในการทำกำไรที่บริษัทได้เริ่มใช้ประสบความสำเร็จดี ทั้งนี้ ยอดขายในไตรมาส 3อยู่ที่ระดับ 33,915ล้านบาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ 0.9เปอร์เซ็นต์จากไตรมาสก่อนหน้า
แม้ว่าผลประกอบการประจำไตรมาส 3เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2565ที่มีสถิติสูงเป็นประวัติการณ์นั้น จะปรับระดับลดลง 16.8เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับกำไรสุทธิที่ลดลง 52.3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีส่วนจากการขาดทุนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและส่วนแบ่งกำไรสุทธิจากไอ-เทล คอร์ปอเรชั่นลดลงเป็นผลจากสัดส่วนหุ้นที่ไทยยูเนี่ยนถือครองลดลง แต่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ในไตรมาส 3นี้ยังแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับ 18.4เปอร์เซ็นต์
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยยูเนี่ยนยังคงรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในไตรมาส 3 นี้เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2นับตั้งแต่เราทำธุรกิจมา เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าแผนและมาตรการในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรที่เรานำมาใช้ในทุกธุรกิจประสบผลสำเร็จได้ผลเป็นอย่างดี บริษัทยังคงมุ่งมั่นในกลยุทธ์เสริมสร้างความสามารถในการกำไรอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาพรวมธุรกิจไทยยูเนี่ยนยังคงแข็งแกร่ง โดยจะเห็นได้จากการที่ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ A+”
ในไตรมาส 3 ของปีนี้ ยอดขายสินค้าอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นอยู่ที่ 11,593ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 0.9 เปอร์เซ็นต์ และมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 12.9เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นจาก 9.6เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสก่อนหน้า จากการบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้ดีประกอบกับกลยุทธ์ของบริษัทในการปรับขนาดกลุ่มธุรกิจและมุ่งเน้นไปที่สินค้าที่ทำกำไร สำหรับธุรกิจสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่นๆ ยังมีอัตรากำไรขั้นต้นแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับ 28.9 เปอร์เซ็นต์ ด้วยยอดขาย 2,698ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 19.4 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทเน้นกลยุทธ์การขายสินค้าที่ทำกำไรได้มากกว่า
ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายในไตรมาส 3อยู่ที่ระดับ 3,773ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.1เปอร์เซ็นต์ และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 19.4 เปอร์เซ็นต์ จากตลาดในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มมีคำสั่งซื้อสินค้ากลับเข้ามาและราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องมียอดขายในไตรมาส 3อยู่ที่ระดับ 15,851ล้านบาท ลดลง 7.5เปอร์เซ็นต์จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังคงมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 20.4เปอร์เซ็นต์
ความยั่งยืนยังคงเป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยน โดยในไตรมาส 3บริษัทได้ประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030ซึ่งเป็นการต่อยอดจากกลยุทธ์เดียวกันที่ประกาศครั้งแรกเมื่อปี 2559ขยายขอบเขตการทำงานสู่พันธกิจความยั่งยืนทั้งสิ้น 11 ข้อ ที่ครอบคลุมการดูแลทั้งผู้คนและโลก สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในการ “ดูแลสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับทรัพยากรในท้องทะเล” โดยการประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืนครั้งนี้ ยังมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิลง 42เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2573และเป็นศูนย์ในปี 2593อีกด้วย
“ท่ามกลางความท้าทายและไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก ไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าการมุ่งมั่นทำงานในด้านความยั่งยืนและนวัตกรรมจะเป็นกำลังสำคัญของธุรกิจเราในการก้าวไปข้างหน้า สร้างโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจให้เติบโตและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นายธีรพงศ์กล่าวทิ้งท้าย