ORมีดีลซื้อกิจการ ดันโอ้กะจู๋ไอพีโอ
OR เตรียมผลักดันบริษัทลูกเข้าตลาดหุ้น ยก “โอ้กะจู๋” นำร่องขายไอพีโอเร็วๆ นี้ เดินหน้าเจรจาดีล ซื้อกิจการหลายดีล ทั้ง เครื่องดื่มอาหาร สนใจ Health and Wellnes มั่นใจงบครึ่งปีหลังสดใส มีรัฐบาลเอกชนมั่นใจลงทุน ท่องเที่ยวดีขึ้น กระตุ้นใช้น้ำมัน พร้อมขยายสาขาปั๊ม และ Café Amazon โบรกชูราคาถูกเป้า 28.25 บาท
นางสาววิไลวรรณ กาญจนกันติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านบริหารการเงิน บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า การที่ประเทศไทยมีความชัดเจนมากขึ้นในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ช่วยกระตุ้นทางบวกต่อความเชื่อมั่นของภาคการผลิตและภาคการลงทุน เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มการขยายตัวในครึ่งปีหลังจากการท่องเที่ยว ทั้งปีคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 25-28 ล้านคน คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.5-3%
ปัจจัยบวกดังกล่าว จะสนับสนุนผลประกอบการให้โตต่อเนื่อง รวมไปถึงการเดินหน้าผลักดัน การขยายธุรกิจ ซึ่งปีนี้ยังคงเดินหน้าขยายสถานีบริการน้ำมัน รวมไปถึงการเปิดสาขาร้าน Café Amazon อีกกว่า 400 สาขา จากไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ประมาณ 4,000 สาขา โดยร้าน Café Amazon อาจจะไม่ได้มุุ่งเน้นจำนวนสาขาอย่างเดียว ต้องมีการพิจารณาในทำเลที่เหมาะสม ส่วนการขยายสถานีอัดประจุอีวีปีนี้จะเพิ่มอีก 500 แห่ง เพิ่มเป็น 800 แห่ง
@มีดีลซื้อกิจการ
พร้อมกันนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาดีลซื้อกิจการ (M&A) หลายดีล ทั้งดีลขนาดเล็กและดีลขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นดีล Food and Beverage หรือ F&B มีการพิจารณาต่อเนื่อง และยังสนใจส่วนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Health and Wellnes หรือธุรกิจความงาม ส่วนมูลค่าอาจจะยังไม่สามารถเปิดเผยได้ชัดเจน
อีกทั้งล่าสุดได้มีการตัวแอปพลิเคชัน “เอ็กซ์พลอร์” (xplORe) จะช่วยอำนวยความสะดวก การใช้จ่าย การใช้แต้ม ในกลุ่มของบริษัท และการ JV กับพาร์ตเนอร์ต่างๆ ซึ่งมีนอกเครือของ OR ด้วย สามารถเชื่อมออนไลน์ไปออฟไลน์ เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ชีวิตของคนปัจจุบันมากขึ้น
@โอ้กะจู๋เข้าตลาด
พร้อมกันนี้จะเดินหน้าผลักดันบริษัทลูกเข้าตลาดจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) โดยประเมินว่า มี 1-2 บริษัทที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นเร็วๆ นี้ อย่างร้านโอ้กะจู๋ มีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเร็วสุด อีกทั้งยังมีบริษัทอื่นๆ ที่มีศักยภาพ แต่พิจารณาความพร้อมในการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรประกอบด้วย
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง OR ว่า ประเมินกำไรสุทธิปี 2566 และปี 2567 เท่ากับ 14,667 ล้านบาท (+41%YoY) และ 17,466 ล้านบาท (+19.1%YoY) โดยมองว่าปริมาณขายน้ำมันเร่งตัวกลับสู่ระดับค่าเฉลี่ยก่อนช่วงโรคระบาดได้ดี ถึงแม้ว่าต้นทุนขายใน ครึ่งปีหลัง 2566 ยังสูงอยู่
คาดบริษัทจะสามารถควบคุม EBITDA Margin ได้ดีขึ้นหลังแนวโน้มทิศทางราคาน้ำมันโลกเริ่มมีความเสถียรภาพมากขึ้น โดยต้นทุนขายที่ OR ทำได้ช่วงก่อนวิกฤติพลังงานอยู่ที่ 92-93% เทียบกับช่วง 2565 ที่ 94.6%, ครึ่งปีหลัง 2565 ที่ 96%, และครึ่งปีแรก 2566 ที่ 94.2% และมี EBITDA Margin เฉลี่ยช่วงน้ำมัน ที่ราว 4% เทียบไตรมาสก่อน
ดังนั้นทิศทางราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงไตรมาส 3/2566 น่าจะส่งบวกค่าการตลาด อย่างไรก็ตาม OR ถือว่าได้รับผลกระทบอย่างมากต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการปรับลดราคาน้ำมัน ซึ่งเกี่ยวพันถึงการตั้งรัฐบาลด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ธุรกิจกลุ่ม Lifestyle และ Global มีแนวโน้มขยายตัวตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งในไทยและอาเซียน โดยยอดขายธุรกิจกลุ่ม Lifestyle น่าจะโตเด่นในไตรมาส 4/2566 ซึ่งเป็นช่วง High Season
*ราคาหุ้นมีอัพไซด์
คงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 28.25 บาท อิง P/E 23 เท่า (ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย SD-0.5 ย้อนหลัง 1 ปี) EPS ปี 2566 เท่ากับ 1.22 บาท และจากราคาปัจจุบันมี Upside 37.8% อีกทั้ง ยังมีปันผลอีก 2.8%
ปัจจุบัน OR ซื้อขายที่ Forward P/E Ratio เพียง 16.8 เท่า หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ย SD-2.0 คาดว่าผลประกอบการของ OR ฟื้นตัวต่อเนื่องและฟื้นตัวแรงในไตรมาสสุดท้ายที่เป็นฤดูท่องเที่ยว