วิเคราะห์วิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชา 2568 จากสงครามสู่สันติภาพที่หยุดชั่วคราว

ปี 2568 คือหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่เปราะบางที่สุดของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา หลังจากการปะทะชายแดนที่ขยายวงกว้างในช่วงกลางปี ความพยายามยุติความขัดแย้งด้วยถ้อยแถลงสันติภาพที่กัวลาลัมเปอร์ถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทว่าความหวังนั้นต้องหยุดลงชั่วคราวเมื่อเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดในเดือนพฤศจิกายน เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เพียงสร้างบาดแผลต่อกำลังพล แต่ยังสั่นคลอนกระบวนการสร้างสันติภาพที่ทั้งสองฝ่ายใช้เวลาหลายเดือนในการวางรากฐาน ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศจึงกลับเข้าสู่สภาวะระแวดระวัง และเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ
รากเหง้าแห่งข้อพิพาท
ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นผลสะสมจากประวัติศาสตร์กว่าร้อยปีที่ยังไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จ เส้นแบ่งเขตแดนที่มาจากสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 มีความคลาดเคลื่อนจากภูมิประเทศจริง เนื่องจากเป็นแผนที่มาตราส่วนหยาบที่อ้างแนวสันปันน้ำแต่กลับลากเส้นข้ามพื้นที่ป่าและเทือกเขาโดยไม่ได้ยึดภูมิประเทศตามจริง
ประเทศไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิ์ในพื้นที่หลายจุด โดยเฉพาะบริเวณปราสาทตาเมือนธม ช่องบก สามเหลี่ยมมรกต และผามออีแดง การจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา หรือ JBC ในช่วงหลังจึงเป็นความพยายามทางการทูตเพื่อหาข้อยุติร่วมกัน ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจปี 2543 หรือ MOU 43 ที่กำหนดว่าทั้งสองฝ่ายต้องละเว้นจากการดัดแปลงภูมิประเทศที่อาจทำให้แนวสันปันน้ำเปลี่ยนไป
แต่ในทางปฏิบัติกลับพบการขยายชุมชน ปลูกพืชไร่ และสร้างสิ่งปลูกสร้างติดแนวชายแดน โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชา ไทยได้ประท้วงมากกว่า 400 ครั้งตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวกระทบต่อเส้นเขตแดนและหลักอธิปไตยของประเทศ การสะสมความไม่พอใจยาวนานนี้จึงกลายเป็นชนวนให้เกิดการปะทะในที่สุด
ลำดับเหตุการณ์ปี 2568
ช่วงต้นปี – ความตึงเครียดก่อตัว
เดือนกุมภาพันธ์ 2568 มีเหตุการณ์เล็กน้อยบริเวณปราสาทตาเมือนธม เมื่อนักท่องเที่ยวกัมพูชาร้องเพลงชาติกัมพูชาในเขตที่ไทยอ้างสิทธิ์ เจ้าหน้าที่ไทยเข้าเจรจาให้หยุด ทำให้ฝ่ายกัมพูชาตอบโต้ด้วยการกล่าวหาว่าถูกละเมิดเสรีภาพ เหตุการณ์นี้แม้ดูเล็ก แต่จุดชนวนความรู้สึกชาตินิยมในทั้งสองประเทศ
ปลายเดือนพฤษภาคมเกิดเหตุยิงปะทะกันที่ช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี หลังฝ่ายกัมพูชาขุดคูเลตในพื้นที่ทับซ้อน ทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งนาย ไทยยืนยันว่าเป็นการตอบโต้หลังถูกยิงก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเข้าสู่ภาวะเย็นยะเยือกเต็มรูปแบบ
กลางปี – วิกฤตกรกฎาคม
เดือนกรกฎาคมเป็นจุดพีกของวิกฤต กองทัพไทยตรวจพบโดรนและการขนย้ายอาวุธหนักเข้ามาใกล้แนวชายแดน วันที่ 24 กรกฎาคมเกิดการยิงปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้องเข้าใส่ฐานทัพไทย บริเวณตาเมือนธมและภูมะเขือ กองทัพไทยตอบโต้ทันทีและยกระดับปฏิบัติการทางอากาศด้วยเครื่องบินขับไล่ F-16 เข้าสกัดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์
เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก บ้านเรือน โรงพยาบาล และสถานีบริการน้ำมันเสียหาย ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่าไทยเริ่มยิงก่อน ส่วนไทยยืนยันว่าทำเพื่อป้องกันตนเอง การสู้รบขยายเป็นหลายแนวรบตั้งแต่ศรีสะเกษ สุรินทร์ ถึงอุบลราชธานี
วันที่ 25 กรกฎาคม ไทยประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต เรียกเอกอัครราชทูตกลับประเทศ ขณะที่กัมพูชาตอบโต้ด้วยการเรียกเอกอัครราชทูตกลับเช่นกัน นับเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตกต่ำถึงขีดสุด
ปลายปี – สู่ถ้อยแถลงสันติภาพ
ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นทำให้สหรัฐอเมริกาเข้ามาแทรกแซงโดยตรง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โทรศัพท์ถึงผู้นำทั้งสองฝ่ายเรียกร้องให้หยุดยิง และเตือนว่าหากยังไม่ยุติความรุนแรงจะระงับข้อตกลงทางการค้า รัฐบาลมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวกลางการเจรจา
วันที่ 27 กรกฎาคม การเจรจาสันติภาพจัดขึ้นที่กัวลาลัมเปอร์ มีตัวแทนจากไทย กัมพูชา สหรัฐ จีน และอาเซียนเข้าร่วม และวันที่ 28 กรกฎาคม ทั้งสองฝ่ายประกาศหยุดยิง ผลจากการสู้รบครั้งนี้มีพลเรือนเสียชีวิต 14 ราย ทหารไทยเสียชีวิต 14 นาย และผู้บาดเจ็บรวมกว่า 60 คน ผู้อพยพกว่า 150,000 คน
ถ้อยแถลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์
วันที่ 26 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ลงนามถ้อยแถลงร่วมที่กัวลาลัมเปอร์ โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นสักขีพยาน เนื้อหาครอบคลุม 8 ข้อสำคัญ เช่น การละเว้นการใช้กำลัง การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ AOT เพื่อเฝ้าติดตามการหยุดยิงและรายงานตรงต่อที่ประชุมอาเซียน
หลังลงนาม ทั้งสองประเทศเริ่มดำเนินการตามแผน เช่น ไทยเคลื่อนย้ายจรวดหลายลำกล้อง SR4 ออกจากพื้นที่แนวชายแดน และเริ่มภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดบริเวณสระแก้วและบุรีรัมย์ โดยคณะผู้แทนจากหลายประเทศร่วมสังเกตการณ์ แต่ภารกิจกลับสะดุดเมื่อกัมพูชาปฏิเสธให้เข้าพื้นที่บางจุด โดยอ้างว่าอยู่ในเขตที่ยังไม่มีการปักหลักเขตแน่นอน
เหตุทุ่นระเบิดพฤศจิกายน – จุดหักเหใหม่
วันที่ 10 พฤศจิกายน ทหารไทย 2 นายเหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ หนึ่งนายขาขาด เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่ที่ฝ่ายไทยเพิ่งเข้าควบคุมหลังการถอนกำลังของกัมพูชาเพียงสามสัปดาห์
ผลการตรวจสอบพบชิ้นส่วนทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ซึ่งเป็นรุ่นที่นิยมใช้โดยกองทัพกัมพูชา กองทัพไทยระบุว่าทุ่นระเบิดชุดนี้ถูกลักลอบนำมาวางใหม่ เพราะบริเวณดังกล่าวเคยเก็บกู้จนปลอดภัยแล้วก่อนหน้านี้ ฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธทันที โดยชี้ว่าอาจเป็นของเก่าที่ยังหลงเหลือจากสงครามในอดีต
คำแถลงของทั้งสองฝ่ายสร้างความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย ประกาศหยุดการดำเนินงานตามถ้อยแถลงทั้งหมดไว้ก่อนจนกว่าจะมีความชัดเจน พร้อมชะลอการปล่อยเชลยศึกชาวกัมพูชา 18 นายออกไปโดยไม่มีกำหนด
ตัวเลขผลกระทบทางมนุษยธรรม
- พลเรือนเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 38 ราย
- ทหารเสียชีวิต 14 นาย บาดเจ็บจากเหตุทุ่นระเบิดเพิ่มอีก 4 นาย
- ศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 530 จุด รองรับผู้อพยพ 156,966 คน
- สถานพยาบาลชายแดน 19 แห่งได้รับผลกระทบ โรงเรียนปิดหลายแห่ง และการค้าชายแดนหยุดชะงักกว่า 30% ของมูลค่าปกติในไตรมาสสุดท้ายของปี
บทบาทของมหาอำนาจ
สหรัฐอเมริกา
สหรัฐเข้ามาเป็นตัวกลางตั้งแต่ช่วงหยุดยิง โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้นโยบายกดดันทั้งสองฝ่ายผ่านข้อตกลงทางการค้า พร้อมเสนอความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและความมั่นคงในกรอบอินโด–แปซิฟิก รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐมาร์โก รูบิโอ เดินทางไปมาเลเซียเพื่อร่วมเจรจาและยืนยันบทบาทอเมริกาในฐานะผู้ค้ำประกันกระบวนการหยุดยิง
จีน
จีนเลือกใช้ท่าทีสงบเงียบ โดยกล่าวเพียงว่าต้องการเห็นทั้งสองประเทศแก้ปัญหาอย่างสันติ แต่เบื้องหลังยังคงรักษาอิทธิพลผ่านโครงการลงทุนและการช่วยเหลือทางทหารในกัมพูชา ปัจจุบันจีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาและมีสัดส่วนการลงทุนมากกว่าครึ่งของต่างชาติทั้งหมด
การแข่งขันของสองมหาอำนาจทำให้พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชากลายเป็นสมรภูมิอิทธิพลใหม่ ไทยต้องรักษาสมดุลระหว่างความสัมพันธ์กับสหรัฐในด้านความมั่นคง และจีนในด้านเศรษฐกิจ
บทบาทของอาเซียนและคณะผู้สังเกตการณ์ AOT
อาเซียนภายใต้การนำของมาเลเซียทำหน้าที่เป็นตัวกลางหลักในการประสานงานและติดตามสถานการณ์หลังการหยุดยิง คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนหรือ AOT มีภารกิจสำคัญคือเฝ้าติดตามการถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และการละเมิดข้อตกลงในพื้นที่ชายแดน คณะผู้แทนจากไทยและกัมพูชาได้รับการสนับสนุนจากบุคลากรจากมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน และลาว
AOT ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแล้วหลายจุด แต่ยังพบข้อจำกัดเรื่องงบประมาณและอำนาจในการเข้าพื้นที่ที่ยังต้องขออนุญาตจากฝ่ายทหารของแต่ละประเทศ การขาดอำนาจตรวจสอบโดยตรงทำให้บางภารกิจดำเนินได้ช้าและไม่ครอบคลุมทุกจุดเสี่ยง
วิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชาในปี 2568 คือภาพสะท้อนของภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนและความท้าทายของอาเซียนในการรักษาสันติภาพในภูมิภาค เหตุการณ์ปะทะ การเจรจา การลงนาม และการหยุดชั่วคราวของถ้อยแถลงคือวงจรที่บอกว่าการสร้างสันติภาพต้องใช้มากกว่าความตั้งใจ ต้องมีการตรวจสอบที่โปร่งใส ความร่วมมือจากประชาชน และการยอมรับในประวัติศาสตร์ร่วมกัน
ตัวเลขผู้เสียชีวิตกว่า 28 ราย บาดเจ็บมากกว่า 40 ราย และผู้อพยพเกือบสองแสนคนคือความสูญเสียที่ไม่มีวันคุ้มค่า หากยังเดินในเส้นทางความขัดแย้ง การกลับเข้าสู่การเจรจาและการสร้างกลไกตรวจสอบร่วมจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในเวลานี้
อนาคตของไทยและกัมพูชาไม่ควรถูกกำหนดด้วยเสียงปืนหรือทุ่นระเบิด แต่ควรถูกขีดเส้นใหม่ด้วยสัญญาใจของเพื่อนบ้านที่เลือกอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของศักดิ์ศรีและความเข้าใจ สันติภาพจะไม่เกิดขึ้นในวันเดียว แต่ทุกก้าวเล็ก ๆ ของการยอมรับความจริงและความอดทนคือจุดเริ่มต้นของการอยู่ร่วมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืนในภูมิภาคนี้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
