ความเคลื่อนไหว สส. ฝ่ายค้าน เปลี่ยนขั้ว ก่อนจังหวะปรับ ครม.

แรงกระเพื่อมในสภา
ในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2568 สถานการณ์การเมืองไทยเริ่มขยับตัวอีกครั้ง เมื่อมีความเคลื่อนไหวจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนที่มาจากพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคประชาชน ที่แสดงท่าทีเตรียมย้ายไปสังกัดพรรคฝ่ายรัฐบาล
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีข่าวว่ารัฐบาลเตรียมปรับคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมิถุนายน เป็นจังหวะที่ทำให้แรงจูงใจในการเปลี่ยนพรรคของนักการเมืองกลับมาเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอีกครั้ง
กรณีของกฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์
ความเคลื่อนไหวที่ได้รับการจับตาอย่างมากในสัปดาห์นี้ คือการแถลงข่าวของกฤษฎิ์ ชีวะธรรมานนท์ สส.ชลบุรี เขต 6 จากพรรคประชาชน ซึ่งประกาศยุติบทบาททางการเมืองกับพรรคเดิม โดยระบุว่าแนวทางการทำงานไม่ตรงกัน
กฤษฎิ์ ยืนยันว่า จะยังคงทำหน้าที่ในฐานะ สส.ต่อไป และเตรียมย้ายไปสังกัดพรรคกล้าธรรม โดยให้เหตุผลว่ามีอุดมการณ์และแนวทางการทำงานที่ใกล้เคียงกัน
คำประกาศนี้เกิดขึ้น หลังจากมีรายงานว่ากฤษฎิ์ ได้ยื่นหนังสือแสดงเจตจำนง ขอให้พรรคขับออกจากสมาชิกภาพตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน หาก สส. ถูกพรรคขับออก จะมีเวลาภายใน 30 วันในการหาพรรคใหม่โดยไม่ต้องพ้นจากตำแหน่ง
พรรคประชาชนเตรียมขอความชัดเจนทางกฎหมาย
หลังการแถลงของ กฤษฎิ์ หัวหน้าพรรคประชาชน ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ได้ออกมาแถลงข่าวร่วมกับแกนนำพรรค โดยระบุว่าพรรคเตรียมยื่นเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตีความว่า หนังสือที่กฤษฎิ์ยื่นเข้ามานั้น ถือเป็นการลาออกหรือไม่
หากการตีความออกมาว่าเป็นการลาออก จะส่งผลให้สส.พ้นจากตำแหน่งโดยอัตโนมัติ แต่หากไม่ใช่ พรรคก็จะใช้มาตรการทางวินัย เช่น ไม่เสนอชื่อเข้าร่วมคณะกรรมาธิการ และไม่มอบหมายงานทางการเมืองเพิ่มเติม
พรรคประชาชนยังตั้งข้อสังเกตว่า จุดประสงค์ของการยื่นขอให้ขับออก อาจเป็นความพยายามเลี่ยงการพ้นจากตำแหน่งโดยการลาออกเอง
กล้าธรรมยืนยันไม่มีดีลลับ
ด้านพรรคกล้าธรรม ซึ่งถูกพาดพิงว่าเป็นปลายทางทางการเมืองของกฤษฎิ์ ยังไม่มีการประกาศรับอย่างเป็นทางการ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรคกล้าธรรม กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุยกับกฤษฎิ์โดยตรง แต่ยืนยันว่า พรรคเปิดกว้างสำหรับผู้ที่มีแนวทางการทำงานสอดคล้องกัน
ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มีการปราศรัยจาก สส.พรรคประชาชน บางราย ระบุว่า มีพรรคการเมืองเสนอเงินสด 55 ล้านบาท เงินเดือนรายเดือน และรถยนต์หรู เพื่อแลกกับการย้ายพรรค แม้ยังไม่มีการยืนยันข้อเท็จจริง แต่คำกล่าวนี้ได้กระตุ้นความสนใจต่อประเด็นการดูดสส.ในช่วงที่มีแนวโน้มปรับคณะรัฐมนตรี
นฤมลกล่าวชัดเจนว่า พรรคไม่ได้ใช้ผลประโยชน์จูงใจใดๆ และยังไม่รู้ว่ากฤษฎิ์จะตัดสินใจอย่างไร
การเปลี่ยนพรรคในระบบรัฐสภาไทย
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดว่า หากสส.ลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนสังกัด จะถือว่าพ้นจากตำแหน่ง เว้นแต่จะถูกขับออกจากพรรค โดยจะมีเวลา 30 วันในการหาพรรคใหม่
ช่องว่างในกติกาดังกล่าวทำให้เกิดพฤติกรรม “ขอให้ขับ” แทนการลาออกโดยสมัครใจ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นผลจากโครงสร้างกฎหมายที่ยังไม่สามารถปิดช่องการเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยไม่ต้องเผชิญผลกระทบโดยตรง
ฐาน สส.ภาคตะวันออกกับแนวโน้มการเคลื่อนตัว
พรรคประชาชนมีสส.ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีทั้งหมด 10 คน โดยมีรายงานว่าอย่างน้อย 2-3 คน อยู่ระหว่างการพิจารณาทางเลือกทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงที่หลายพรรคฝ่ายรัฐบาลเริ่มขยับเพื่อเตรียมเสริมเสียงในสภา
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันว่ามีการย้ายพรรคจริงในระดับกลุ่ม และสส.อีกหลายคนในพื้นที่ยังยืนยันว่าจะทำงานร่วมกับพรรคประชาชนต่อไป
จับตาจังหวะก่อนปรับ ครม.
การเปลี่ยนขั้วของสส.ไม่ใช่เรื่องใหม่ในระบบรัฐสภาไทย แต่เมื่อเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความเป็นไปได้ว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ย่อมมีนัยทางการเมืองที่มากกว่าการขัดแย้งภายในพรรค
นอกจากการจัดวางตำแหน่งใน ครม. ใหม่แล้ว จำนวนสส.ในมือของแต่ละพรรคยังมีผลต่อความสามารถในการผลักดันนโยบาย เสถียรภาพในสภา และการวางเกมการเมืองระยะยาวก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าการตัดสินใจของนักการเมืองรายบุคคล แต่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ในระดับพรรคและรัฐบาล ที่ต้องบริหารเสียงข้างมากให้มั่นคงที่สุด