รีเซต

เดิมพัน 4 กระทรวงหลัก หลังภูมิใจไทยถอนตัว ใครจะเป็นผู้จัดสมดุลอำนาจใหม่

เดิมพัน 4 กระทรวงหลัก หลังภูมิใจไทยถอนตัว ใครจะเป็นผู้จัดสมดุลอำนาจใหม่
TNN ช่อง16
19 มิถุนายน 2568 ( 23:07 )
9

จุดเปลี่ยนจากคลิปเสียง สู่การย้ายขั้วอำนาจ

การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญอีกครั้ง เมื่อพรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 มิถุนายน 2568 การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังคลิปเสียงบทสนทนา ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับอดีตผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ จนกลายเป็นประเด็นร้อนในวงการการเมือง

แรงกระเพื่อมที่ตามมาไม่ใช่เพียงกระแสสังคม แต่เป็นผลกระทบในระดับโครงสร้างของรัฐบาล เมื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยื่นใบลาออกพร้อมรัฐมนตรีในสังกัดรวม 8 ราย นำไปสู่ช่องว่างในกระทรวงสำคัญหลายแห่ง

การว่างตำแหน่งของ 4 กระทรวงยุทธศาสตร์

ตำแหน่งที่ว่างลงจากการถอนตัวของภูมิใจไทย ไม่ใช่เพียงตัวเลข แต่เป็นเก้าอี้ของกระทรวงที่มีบทบาทต่อความมั่นคงของรัฐบาลโดยตรง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

กระทรวงมหาดไทยเป็นกลไกสำคัญของการปกครองท้องถิ่น การเลือกตั้ง และการควบคุมอำนาจในภูมิภาค การที่ตำแหน่งนี้ว่างลงจึงไม่ใช่เพียงเรื่องเทคนิค แต่เป็นจุดที่อาจกำหนดทิศทางการเมืองระดับประเทศ

กระทรวงแรงงานมีบทบาทในการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ การจัดสรรแรงงานต่างชาติ และการประกันสังคม ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่ประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจ

ส่วนกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการอุดมศึกษา แม้ต่างหน้าที่กัน แต่ล้วนเกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาซึ่งเป็นรากฐานการพัฒนาประเทศ และมักเป็นกระทรวงที่ได้รับงบประมาณสูงสุด

พรรคเพื่อไทยขยับหมาก รวบอำนาจกลับคืน

ในฐานะแกนนำรัฐบาล พรรคเพื่อไทยเริ่มเดินเกมทวงคืนอำนาจในกระทรวงหลักทันทีหลังภูมิใจไทยวางมือ โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ก่อนหน้านี้ถือเป็นหัวใจของอำนาจรัฐ และเคยเป็นของพรรคเพื่อไทยมาก่อนจะถูกโอนให้พันธมิตร

รายงานจากวงในพรรคระบุว่า ส.ส. ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าควรใช้โอกาสนี้ดึงกระทรวงหลักกลับคืน เพื่อสร้างความต่อเนื่องในการบริหารประเทศ และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาเสียงพรรคร่วม

นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่า พรรคจะรับตำแหน่งที่ว่างทั้งหมด เพื่อใช้เป็นฐานในการผลักดันนโยบายที่ติดค้างจากปัญหาความขัดแย้งภายในรัฐบาลช่วงที่ผ่านมา

พรรคร่วมเดินเกมต่อรอง?

ขณะที่เพื่อไทยเดินหน้าขยายอำนาจ พรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคพลังประชารัฐ และพรรคชาติไทยพัฒนา ต่างจับตาโควตารัฐมนตรีอย่างใกล้ชิด แม้เสียงในสภาจะน้อยกว่า แต่ความอยู่รอดของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำยังต้องอาศัยความร่วมมือจากพันธมิตร

การต่อรองจึงอาจเกิดขึ้นในลักษณะของการแลกเปลี่ยนตำแหน่งกับแรงสนับสนุนทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งรัฐมนตรีช่วย หรืองานในระดับนโยบาย

อย่างไรก็ตาม โครงสร้างอำนาจในเวลานี้ยังเทไปทางพรรคเพื่อไทย การแบ่งเก้าอี้จึงต้องคำนวณจากทั้งน้ำหนักของเสียงในสภา และความจำเป็นของความมั่นคงทางการเมือง

โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่าน

การว่างลงของรัฐมนตรีในกระทรวงหลักไม่เพียงกระทบการทำงานของแต่ละหน่วยงาน แต่ยังส่งผลถึงความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจ สวัสดิการ และการพัฒนาประเทศ

รัฐบาลจึงเผชิญโจทย์ใหญ่ในการแต่งตั้งบุคคลที่มีความสามารถเข้าไปแทนที่ภายใต้กรอบเวลาจำกัด และต้องคำนึงถึงความเหมาะสมทั้งในเชิงนโยบายและการเมือง

หากการจัดสรรเกิดขึ้นอย่างรีบร้อนหรือถูกมองว่าเป็นการเกลี่ยอำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ทางการเมือง ความเชื่อมั่นจากประชาชนและภาคธุรกิจอาจลดลงในทันที

มองไปข้างหน้า

ศึกการเมืองในช่วงนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของตำแหน่งหรืออำนาจ หากแต่เกี่ยวข้องกับอนาคตของการบริหารประเทศโดยตรง พรรคเพื่อไทยในฐานะผู้กุมอำนาจหลักต้องประคองเสถียรภาพภายใน ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาความร่วมมือกับพรรคร่วมให้ดำเนินต่อไปได้

ความสำเร็จของการจัด ครม. ใหม่จะไม่วัดจากจำนวนกระทรวงที่ได้ แต่จะอยู่ที่ว่ารัฐบาลจะสามารถใช้โอกาสนี้ขับเคลื่อนประเทศท่ามกลางแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง