รีเซต

จ่อเปลี่ยนชื่อ “ฝีดาษลิง” เป็น "MPOX" แก้ความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาโรค

จ่อเปลี่ยนชื่อ “ฝีดาษลิง” เป็น  "MPOX" แก้ความเข้าใจเกี่ยวกับที่มาโรค
TNN ช่อง16
23 พฤศจิกายน 2565 ( 13:26 )
133

 วันนี้ (23 พ.ย. 65) เว็บไซต์ข่าวโพลิติโครายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) กำลังวางแผนที่จะเปลี่ยนชื่อ Monkeypox (โรคฝีดาษลิง) เป็น "เอ็มพอกซ์" (MPOX) เพื่อขจัดความเข้าใจผิดที่ว่าโรคดังกล่าวมีสาเหตุมาจากลิงเท่านั้น เนื่องจากไวรัสชนิดนี้พบได้ในสัตว์หลายชนิด และมักพบในสัตว์ฟันแทะเป็นส่วนใหญ่

 แหล่งข่าวระบุว่า WHO จะประกาศการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในวันนี้ (23 พ.ย.) เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดนที่ออกมาเรียกร้องให้ WHO เปลี่ยนชื่อโรคฝีดาษลิง และส่งสัญญาณว่ารัฐบาลสหรัฐอาจจะกระทำการเพียงฝ่ายเดียว หากองค์กรระดับโลกอย่าง WHO ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ที่มากพอ

โดยปกติแล้ว WHO จะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระดับโลกในประเด็นสาธารณสุข ซึ่งรวมถึงการประกาศมาตรการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ และให้คำแนะนำเกี่ยวกับชื่อโรคที่เกิดขึ้นในแต่ละประเทศ แต่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คณะบริหารของปธน.ไบเดนได้แสดงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับชื่อของโรคฝีดาษลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนผิวสี และความพยายามเคลื่อนไหวให้มีการเปลี่ยนชื่อโรคใหม่นั้นได้กลายมาเป็นอุปสรรคขัดขวางการรณรงค์วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษลิง

อย่างไรก็ดี ทั้ง WHO และทำเนียบขาวยังไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับรายงานข่าวของโพลิติโค

ก่อนหน้านี้บรรดาผู้เชี่ยวชาญและนักเคลื่อนไหวที่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ (LGBT) ได้ออกมาเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อโรคฝีดาษลิงเช่นกัน โดยพวกเขากล่าวว่า การเรียกโรคนี้ว่าฝีดาษลิงนั้นถือเป็นการสร้างความคลุมเครือ และอาจหมิ่นเหม่ที่จะกลายเป็นประเด็นเหยียดเชื้อชาติเกี่ยวกับแอฟริกา รวมทั้งอาจส่งผลกระทบต่อการรับมือทั่วโลก

ทั้งนี้ นอกจาก WHO ได้ประกาศให้การระบาดของฝีดาษลิงทั่วโลกเป็นเหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุขที่น่ากังวลในระดับนานาชาติแล้ว WHO ยังระบุอย่างชัดเจนว่า ความเสี่ยงของฝีดาษลิงในปัจจุบันนั้นกระจุกตัวในผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย

การระบาดของโรคฝีดาษลิงทำให้ชุมชนชายรักชายหลายชาติเริ่มตระหนักและวิตกถึงการเลือกปฏิบัติและถูกตีตราทางสังคม (social stigma) ในกลุ่มผู้ป่วยฝีดาษลิงอย่างเลี่ยงไม่ได้

ภาพจาก  : AFP

ข่าวที่เกี่ยวข้อง