รีเซต

ไวรัสตับอักเสบ ปล่อยไว้นาน อาจลุกลามจนเกิด มะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบ ปล่อยไว้นาน อาจลุกลามจนเกิด มะเร็งตับ
TNN ช่อง16
21 พฤศจิกายน 2568 ( 16:37 )
9

ชนิดของไวรัสตับอักเสบ

ชนิดของไวรัสตับอักเสบแบ่งเป็น 5 ชนิด ได้แก่ A, B, C, D และ E ซึ่งแต่ละชนิดมีวิธีการติดต่อ ความรุนแรง และแนวทางป้องกันที่แตกต่างกันดังนี้

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)

การติดต่อ : อาหารและน้ำปนเปื้อน, สัมผัสอุจจาระของผู้ป่วย

ความรุนแรง : ไม่เรื้อรัง ส่วนใหญ่หายได้เอง

อาการระวัง : ไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ตัวเหลือง ตาเหลือง

การป้องกัน

ดื่มน้ำต้มสุก อาหารปรุงสุก

ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร

ฉีดวัคซีนได้ มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)

การติดต่อ ::

เลือดและสารคัดหลั่ง เช่น เพศสัมพันธ์ไม่ป้องกัน

การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เช่น ผู้ใช้ยาเสพติด

บุคลากรแพทย์ถูกเข็มตำมือ

การติดเชื้อจาก แม่สู่ลูก มีโอกาสพบบ่อยมากที่สุด

ความรุนแรง : ติดเชื้อฉับพลันจนตับอักเสบรุนแรง และอาจเรื้อรัง เสี่ยงตับแข็ง มะเร็งตับ

การป้องกัน :: วัคซีนป้องกันไวรัสบี ฉีดให้ทารกแรกเกิดทุกราย ช่วยลดการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C)

การติดต่อ : เลือดเป็นหลัก เช่น เข็มร่วม ใช้อุปกรณ์สัก เจาะที่ไม่ปลอดภัย

ความรุนแรง : พัฒนาเป็นเรื้อรังได้สูง เสี่ยงตับแข็งและมะเร็งตับ

การรักษา : ปัจจุบันมียารักษารูปแบบรับประทานที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถหายขาดได้

การป้องกัน : ยังไม่มีวัคซีน ต้องเลี่ยงความเสี่ยงโดยตรง

ไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D)

การติดต่อ : ผ่านเลือด และเกิดร่วมกับไวรัสบีเท่านั้น

ความรุนแรง : ทำให้โรคตับอักเสบบีรุนแรงขึ้นมาก ตับแข็ง มะเร็งตับ

การป้องกัน : ฉีดวัคซีนไวรัสบี ป้องกันไวรัสดีได้เช่นกัน

ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E)

การติดต่อ : รับประทานเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก โดยเฉพาะเนื้อหมู หอย หรือน้ำดื่มไม่สะอาด

ความรุนแรง : ไข้สูง ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย ส่วนใหญ่หายเอง แต่ใน หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ อาจตับอักเสบรุนแรงได้

การป้องกัน : สุขอนามัยอาหารและน้ำดื่ม กินเนื้อหมูสุก ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน

อาการเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

ตัวเหลือง ตาเหลือง

ปวดชายโครงขวา

คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร

เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย

ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด

น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

คันตามผิวหนังเรื้อรัง

ใครบ้างควรตรวจไวรัสตับอักเสบ?

ควรตรวจอย่างน้อยปีละครั้ง หากคุณมีความเสี่ยงเหล่านี้

  • มีค่าตับผิดปกติ
  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  • ใช้ยาเสพติดทางเข็ม หรือสักเจาะตามร้านที่ไม่ปลอดภัย
  • ใช้เลือดหรือผลิตภัณฑ์เลือด
  • บุคลากรทางการแพทย์
  • หญิงตั้งครรภ์
  • มีคนในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบีหรือไวรัสตับอักเสบซี

แนวทางการรักษาไวรัสตับอักเสบแต่ละชนิด

การรักษาไวรัสตับอักเสบขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัส ระดับความรุนแรงของการอักเสบของตับ และสภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย ดังนี้

การรักษาไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A) :: ยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะทาง ส่วนใหญ่ อาการจะดีขึ้นได้เอง โดยเน้นพักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และติดตามการทำงานของตับ อาการมักหายภายในไม่กี่สัปดาห์ถึงเดือน

การรักษาไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B) :: หากเป็นเฉียบพลัน ผู้ป่วยอาจหายเองได้ หรือจำเป็นต้องได้รับยารักษา แต่ถ้าเป็นเรื้อรัง แพทย์อาจให้ ยาต้านไวรัสเพื่อควบคุมปริมาณเชื้อ ลดการอักเสบของตับ ต้องติดตามค่าตับและปริมาณเชื้ออย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันตับแข็งและมะเร็งตับ ผู้ที่เป็นพาหะ (Carrier) จำเป็นต้องตรวจติดตามสม่ำเสมอ แม้จะไม่มีอาการ

การรักษาไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C) :: จจุบันมี ยาต้านไวรัสชนิด DAAs ที่ให้ผลการรักษาสูงมาก มีโอกาสหายขาดมากกว่า 95% หากเริ่มรักษาเร็ว และควบคุมปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย ยิ่งตรวจพบเร็ว ยิ่งรักษาได้ผลดี และลดความเสี่ยงตับแข็ง มะเร็งตับ

การรักษาไวรัสตับอักเสบดี (Hepatitis D) :: ต้องรักษาควบคู่กับไวรัสบี เนื่องจากเชื้อดีจะพบเฉพาะในผู้ที่ติดเชื้อบีมาก่อน จึงต้องดูแลโดย แพทย์ชำนาญการด้านโรคตับ อย่างใกล้ชิด

การรักษาไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E) :: คล้ายกับไวรัสเอ คือเน้นรักษาตามอาการ ในผู้ป่วยตั้งครรภ์ ไตวายเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจเป็นรุนแรงจนอันตรายถึงชีวิตได้

วิธีป้องกันไวรัสตับอักเสบ

ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอับเสบบีตามแพทย์แนะนำ

ป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์

ใช้อุปกรณ์เข็มฉีดยาที่ปลอดภัย ไม่ใช้ร่วมกัน

เลือกกินอาหารสุก น้ำสะอาด

ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง