AKR ลุ้นคว้าโปรเจ็กต์ใหม่ EPC เนื้อหอมออเดอร์จ่อ
AKR เนื้อหอมลูกค้าโรงงานเรียงคิวติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปอย่างต่อเนื่อง หนุนแบ็กล็อก EPC ปัจจุบันยืนเหนือ 120 ล้านบาท มีลุ้นไตรมาส 2/2566 โดดคว้างานก้อนใหญ่ตุนพอร์ตเพิ่ม พร้อมเดินหน้าประมูลงานหม้อแปลงไฟฟ้าภาครัฐ-เอกชน อีกกว่า 3.5 พันล้านบาท
นายดนุชา น้อยใจบุญ กรรมการ บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ AKR เปิดเผยว่า งานรับเหมาออกแบบและติดตั้ง (EPC) แผงโซลาร์เซลล์ในปัจจุบันนั้น บริษัทได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มลูกค้าโรงงานและกลุ่มลูกค้าครัวเรือนเข้ามาจำนวนมาก ส่งผลให้ในตอนนี้มี Backlog ในส่วนของงาน EPC แล้วสูงกว่า 120 ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถทยอยส่งมอบและรับรู้เข้ามาเป็นรายได้ในปี 2566 ได้ทั้งหมด
*รุกโซลาร์เต็มสูบ
นอกจากนี้ บริษัทยังมีที่อยู่ระหว่างการเสนอราคาและประมูลงานติดตั้งโซลาร์บนหลังคาอีกหลายโครงการ มูลค่ารวมกันสูงกว่าหลายร้อยล้านบาท เบื้องต้นบริษัทคาดว่าภายในช่วงไตรมาส 2/2566 จะได้เห็นความชัดเจนการรับงานใหม่ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ อย่างน้อย 1 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งราว 5 เมกะวัตต์ (MWh) มูลค่าอยู่ที่ประมาณ 120-150 ล้านบาท ขณะเดียวกันในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีโอกาสที่จะได้รับงานโครงการขนาดเล็กและกลางเข้ามาเติมพอร์ตได้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
"ด้วยกระแสลดภาวะโลกร้อน และค่าพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะโรงงานต่างๆ ให้ความสนใจและกันมาติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปกันมากขึ้น ซึ่งฐานลูกค้าเดิมที่มีการซื้อหม้อแปลงไฟฟ้าก็ติดต่อให้เข้าไปดูหน้างานเพื่อติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเข้ามาเรื่อยๆ และนอกเหนือจากการรับงานภาคเอกชนชนแล้ว เราก็ยังให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลงานที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจด้วยเช่นเดียวกัน"นายดนุชา กล่าว
ส่วนกรณีที่ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศผลผู้ชนะครั้งสุดท้าย สำหรับกลุ่มโรงไฟฟ้าประเภทไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง ซึ่งในส่วนของพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (โซลาร์ฟาร์ม) ที่จะรับซื้อไฟฟ้ารวม 2,368 เมกะวัตต์นั้น แม้ว่าในครั้งนี้บริษัทจะไม่ได้งานมา แต่ยังคงมีความสนใจและเดินหน้าเข้าร่วมประกวดราคาสำหรับรอบเก็บตกต่อไป ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมและมีศักยภาพในมือรองรับการลงทุนไว้เรียบร้อยแล้ว
ชิงงานหม้อแปลง
ขณะที่ธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้านั้น ในช่วงไตรมาส 1/2566 ที่ผ่านมามีการเติบโตที่ค่อนข้างพอใจ ต้องยอมรับว่าหลังจากที่มีการเปิดประเทศเต็มรูปแบบอีกครั้ง ทำให้ทั้งส่วนภาครัฐและเอกชนกลับมาเดินหน้าลงทุนโครงการต่างๆ กันมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ทั้งคอนโดมิเนียมและโรงแรม ทำให้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกปีนี้มีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีกว่าเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน โดยปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) รอส่งมอบแล้วกว่า 400 ล้านบาท
นับตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมมาจนถึงเดือนมีนาคม 2566 บริษัทมีส่วนเข้าร่วมประมูลงานโครงการจากภาคเอกชนเฉพาะส่วนหม้อแปลงไฟฟ้า ไปแล้วรวมกว่า 300 ล้านบาท เบื้องต้นคาดจะทยอยประกาศผลในช่วงไตรมาส 2/2566 เป็นต้นไป ขณะที่งานในส่วนของทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) มูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท และ 1,500 ล้านบาท ตามลำดับ คาดว่าจะเริ่มเปิดประมูลช่วงปลายไตรมาส 2/2566 หรือต้นไตรมาส 3/2566
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีโอกาสที่จะได้รับงานซ่อมบำรุงหม้อแปลงไฟฟ้า (Service) เข้ามาเพิ่มเติมอีกด้วย การเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เริ่มเห็นการกลับมาท่องเที่ยวของชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปัจจุบันกลุ่มผู้ประกอบการทั้งโรงแรม รีสอร์ต และร้านอาหารต่างๆ กลับมามีการลงทุนซ่อมแซมและปรับปรุงกิจการอีกครั้ง โดยในปี 2566 บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตในส่วนของ Service ไว้ที่ไม่น้อยกว่า 20-25% จากปีก่อน
และจากปัจจัยดังกล่าว มองว่ายังเป็นโอกาสดีที่ทำให้บริษัทสามารถเดินทางกลับไปเยี่ยมโรงงานฐานลูกค้าในหลายพื้นที่ได้ โดยเฉพาะในตลาดกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น ลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, บรูไน และออสเตรเลีย รวมถึงสามารถเข้าไปขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ในกลุ่มประเทศนี้เพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ายอดขายจากตลาดออสเตรเลียในปี 2566 จะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน