ทำไมน้ำท่วมในเอเชียรุนแรง และคร่าชีวิตคนมากขึ้น

ในปี 2025 หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียต้องเผชิญกับอุทกภัยและพายุครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ฝนที่ตกหนักทำลายสถิติ พายุโซนร้อนที่เกิดขึ้นผิดฤดูกาล และไซโคลนที่มีความรุนแรงสูงได้ถาโถมเข้าใส่ชุมชนจำนวนมากทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ เมืองทั้งเมืองถูกน้ำท่วมจม ถนนและสะพานถูกพัดหาย ผู้คนนับล้านต้องละทิ้งบ้านเรือนเพื่อหนีชีวิตรอด เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นสัญญาณเตือนที่ดังชัดยิ่งขึ้นว่าภูมิภาคนี้กำลังเผชิญความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
สาเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงขึ้นคือการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก เมื่ออากาศและมหาสมุทรอุ่นขึ้น พวกมันสามารถกักเก็บไอน้ำได้มากกว่าเดิม ดังนั้นเมื่อเกิดพายุหรือหย่อมความกดอากาศต่ำ สิ่งที่ควรเป็นฝนธรรมดากลับกลายเป็นการเทกระหน่ำของฝนปริมาณมหาศาลในช่วงเวลาสั้น ๆ ระดับน้ำที่พุ่งสูงและรวดเร็วจึงเกินความสามารถของแม่น้ำ ระบบระบายน้ำ หรือพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติที่จะรองรับได้ หลายเมืองที่เคยรับมือกับหน้าฝนได้ดีต้องจมอยู่ใต้น้ำเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดพายุ
ขณะเดียวกัน วัฏจักรภูมิอากาศอย่างเอลนีโญและลานีญาที่เคยช่วยให้คาดการณ์ปริมาณฝนได้ กลับมีความแปรปรวนมากขึ้นเพราะผลกระทบจากภาวะโลกร้อน สภาพอากาศจึงผันผวนและคาดเดายากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เหตุการณ์ที่เมื่อก่อนอาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบหลายปี กลายเป็นสิ่งที่เกิดบ่อยจนระบบโครงสร้างพื้นฐานและหน่วยงานรับมือภัยพิบัติไม่สามารถเตรียมพร้อมได้ทันเวลา การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้สร้างแรงกดดันมหาศาลต่อชุมชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงและทำให้การพยากรณ์ล่วงหน้ามีความไม่แน่นอนมากขึ้นกว่าเดิม
นอกจากปัจจัยด้านภูมิอากาศแล้ว ผลกระทบจากพฤติกรรมของมนุษย์ยังทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลายพื้นที่ในอินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย และประเทศเพื่อนบ้าน ต่างประสบปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและการใช้ที่ดินที่ไร้การควบคุม ป่าที่เคยทำหน้าที่ซับน้ำและยึดหน้าดินถูกทำลาย เมื่อฝนตกหนัก ดินจึงอุ้มน้ำไม่ไหว เกิดน้ำป่าไหลหลากและดินถล่มได้ง่ายขึ้น บางหมู่บ้านถูกพัดหายไปทั้งหมู่บ้านในเวลาเพียงค่ำคืนเดียว ตัวอย่างเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการทำลายระบบนิเวศตามธรรมชาติได้เพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้คนอย่างมหาศาล
ความสูญเสียทางมนุษย์นั้นรุนแรงจนยากจะประเมินค่าได้ ปีนี้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,200 คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียงภูมิภาคเดียว และยังมีอีกจำนวนมากที่สูญหาย ชุมชนหลายแห่งยังถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเพราะถนนและสะพานพังทลาย ผู้คนต้องอพยพหนีภัยเป็นล้าน ๆ ราย หลายครอบครัวต้องเผชิญการสูญเสียบ้านเรือน ทรัพย์สิน และแหล่งทำกิน พื้นที่เพาะปลูกถูกน้ำกัดเซาะเสียหายจนไม่สามารถฟื้นตัวได้ในเวลาสั้น ๆ ทำให้ความยากจนและความไม่มั่นคงด้านอาหารเพิ่มขึ้นตามมา
ในมุมของวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2025 สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของนักวิจัยจากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) และผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศที่ระบุชัดว่า ภาวะโลกร้อนกำลังทำให้ฝนตกหนักบ่อยขึ้นและน้ำท่วมรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าเหตุการณ์เช่นนี้กำลังจะกลายเป็น “ความปกติใหม่” หากไม่มีการดำเนินการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและหยุดยั้งการทำลายสิ่งแวดล้อมทั่วโลก
ทางออกจึงต้องครอบคลุมทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาว ประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่แม่นยำขึ้น มีแผนอพยพที่ชัดเจน และเพิ่มศักยภาพการช่วยเหลือฉุกเฉินเพื่อให้ประชาชนปลอดภัยมากที่สุด นอกจากนี้ ธรรมชาติเองคือแนวป้องกันที่สำคัญ การฟื้นฟูป่าไม้ ป่าชายเลน และพื้นที่ชุ่มน้ำสามารถช่วยดูดซับน้ำ ลดความเร็วของน้ำไหล และป้องกันดินถล่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกด้านหนึ่ง รัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศต้องให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือชุมชนที่เปราะบาง สร้างที่อยู่อาศัยที่ทนทานต่อสภาพอากาศและสนับสนุนระบบสวัสดิการเพื่อให้ผู้ประสบภัยมีโอกาสฟื้นตัวในระยะยาว
ท้ายที่สุด เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปีนี้คือคำเตือนที่ไม่อาจเพิกเฉย หากเรายอมรับให้ภัยพิบัติรุนแรงกลายเป็นเรื่องธรรมดา เท่ากับปล่อยให้อนาคตของผู้คนนับล้านต้องอยู่กับความเสี่ยงที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ความท้าทายครั้งนี้ต้องการการลงมือทำอย่างจริงจัง ตั้งแต่ระดับชุมชนไปจนถึงระดับโลก เพื่อไม่ให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไร้ทางจบสิ้น