ส่องทิศทาง "ทองคำ" ครึ่งปีหลัง มีโอกาสทะลุ 56,000 บาทหรือไม่

นักลงทุนที่เข้าลงทุนทองคำไม่ผิดหวัง ! ได้รับผลตอบแทนไม่น้อย สะท้อนจากราคาทองคำในช่วง 6 เดือนที่ผ่านราคา Gold Spot ดีดขึ้น 678 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 25.85% ขณะที่ทองแท่งขึ้น 8,200 บาท หรือขึ้นประมาณ 19.34% เป็นผลมาจากสงครามทางการค้าปะทุ หลัง “ทรัมป์” ประกาศศึกทั่วโลก ด้วยการปรับขึ้นภาษีนำเข้าจากนานาชาติ ผสมโรงสงครามตะวันออกกลางส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทำให้สินทรัพย์ Safe Haven อย่างทองคำได้รับความนิยมสูง เนื่องจากความผันผวนที่ต่ำ แตกต่างจากพันธบัตร หุ้น หรือคริปโตเคอร์เรนซีที่มีความเสี่ยงสูง
สำหรับทองคำในช่วงครึ่งปีหลังมีทิศทางเป็นอย่างไร มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อหรือไม่ และมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องอะไรที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด วันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ
เริ่มจาก "วรุต รุ่งขำ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด ฉายภาพให้ฟังว่า ทองคำในช่วงที่เหลือของปีคาดว่า แกว่งไซด์เวย์อัพ เป็นผลมาจากธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดยังเดินหน้านโยบายลดดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ประกอบกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากนานาประเทศ ทำให้เกิดสงครามทางการค้า รวมถึงปัญหาสงครามในตะวันออกกลางที่ปะทุเป็นระลอก ส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเผชิญความผันผวน แม้ว่าสงครามจะคลี่คลาย แต่ก็ทำให้เศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯชะลอตัว
ส่วนแนวโน้มทองคำมีโอกาสที่ทำ All Time High ใหม่หรือไม่นั้น มองว่ายังมีโอกาสถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สงครามนิวเคลียร์ สงครามทางการค้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเหมือนในอดีตที่เกิดโควิด หรือเศรษฐกิจหดตัวรุนแรง ทำให้นักลงทุนทิ้งดอลลาร์และหันมาถือครองทองคำแทน
แม้ว่าในช่วงนี้ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์จะลดลง แต่ประเด็นที่ต้องจับตาคือการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดที่ตลาดคาดว่าจะหั่นดอกเบี้ยลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยถ้าเฟดลดดอกเบี้ยลง 3 ครั้ง และภาพเศรษฐกิจชะลอตัวลงเกิดความผันผวนด้านเศรษฐกิจ เช่น เกิดเศรษฐกิจถดถอย หรือเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกทำให้ราคาทองคำทำนิวไฮใหม่
โดยถ้า Gold Spot 3,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ออนซ์ ราคาทองแท่งจะอยู่ที่ 53,200 บาท แต่หาก Gold Spot ขึ้นไปที่ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งจะอยู่ที่ 53,950 บาท และหาก Gold Spot อยู่ที่ 3,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งจะอยู่ที่ 56,250 บาท (คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ)
แต่ถ้าเฟดลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ราคาทอง Gold Spot ไม่น่าจะถึง 3,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ อาจจะอยู่ที่ 3,121 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งจะอยู่ที่ 48,200 บาท และหากเฟดลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง คาดราคา Gold Spot อยู่ที่ 2,956 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองแท่งจะอยู่ที่ 45,600 บาท
ในทางกลับกันหากช่วงที่เหลือของปีนี้ไม่เกิดวิกฤติก็มองว่า ราคาทองคำยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง และยังไม่หลุดแนวรับ 3,121 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากธนาคารกลางโลกยังเข้าซื้อทองคำเป็น "ทุนสำรองระหว่างประเทศ" แต่ไม่ถึงขั้นไล่ซื้อ เพราะถ้าทองขึ้นมาแถว 3,450 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองคำบวก 30% จากต้นปีถือว่าแพงมากเกินไปที่จะเข้าเก็บ แต่ถ้าราคาขึ้น 10-20% ยังคงเก็บทองอยู่ เช่น ธนาคารกลางจีน แม้ว่าจะเข้าซื้อทองคำ แต่ซื้อในอัตราที่ลดลง หลังจากที่ทองขึ้นมาแตะ 3,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ขณะที่ซิตี้กรุ๊ปที่มองว่าทองอาจจะหลุด 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ก็คิดว่ามีโอกาสลงเหมือนกัน เนื่องจากทองแพงมากทำให้แรงซื้อหรือความต้องการทองคำลดลง นอกจากนี้มีกระแสข่าวว่าคนสหรัฐฯ ขายทองคำออกมามาก เนื่องจากขาดความเชื่อมั่นในการบริหารของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ สงครามคลี่คลาย โดยรัสเซีย ยูเครนไม่ได้มีความรุแรงเพิ่ม ขณะที่ตะวันออกกลางอิสราเอลและอิหร่านมีข้อตกลงที่หยุดยิงกัน 6 เดือน ภาพดังกล่าวทำให้เห็นว่า ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ลดน้อยลง แต่ถ้าเศรษฐกิจดีจริง แต่เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงเฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว ทองน่าจะลงมามาแตะ 2,956 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ทั้งนี้มองว่าทองคำยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในการลงทุน แม้ว่าสถานการณ์สงคราม ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ลดความร้อนแรง แต่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ชนะเงินเฟ้อ เพราะเงินเฟ้อทำให้มูลค่าเงินลดลง แต่ทองคำไม่เสื่อมสภาพ และยังสามารถแลกเปลี่ยนได้ทั่วโลก
ฝั่ง “วรชัย ตั้งสิทธิ์ภักดี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีที โกลด์บูลเลี่ยน จำกัด มองว่า ราคาทองคำในครึ่งปีหลัง ปรับตัวขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับการประชุมของธนาคารคลังสหรัฐหรือเฟดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงกี่ครั้ง หากเฟดตัดสินใจลดดอกเบี้ยก็ทำให้ทองคำมีโอกาสปรับขึ้น แต่ในตรงกันข้ามถ้าเฟดไม่รีบดอกเบี้ยจะทำให้ราคาทองปรับตัวลงแรง ซึ่งตามแผนเฟดมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้
นอกจากนี้ธนาคารกลางโลกยังซื้อทองคำเป็นทุนสำรองอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยหนุนให้ทองไม่ลงลึก โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีการซื้อทองคำปีละ 1,000 ตัน ซึ่งในปีนี้ก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาเนื่องจากทุกประเทศระแวงนโยบายการจัดเก็บภาษีนำเข้าของ “ทรัมป์” จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจการถือครองดอลลาร์และหันมาซื้อทองคำแทน
ส่วนราคาทองคำในช่วงนี้ปรับตัวลง หลัง “ทรัมป์” ประกาศอิหร่าน-อิสราเอลหยุดยิง 12 วัน และเฟดไม่รีบลดดอกเบี้ย เพราะเห็นว่าสงครามทางการค้าทำให้เงินเฟ้อสูง ซึ่งต้องรอดูในเดือนก.ย.ว่า เฟดจะตัดสินใจลดดอกเบี้ยหรือไม่ เพราะที่ผ่านมา “ทรัมป์” ต่อว่าเฟดทำให้สหรัฐฯเสียหายจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสูงเป็นหมื่นล้านบาทในแต่ละปีและส่งสัญญาณให้ "เจอโรม พาวเวลล์" ประธานเฟดลดดอกเบี้ย แต่ยังไม่สำเร็จ "พาวเวลล์" อ้างว่าแรงงานไม่แย่ และเงินเฟ้อยังสูง
ขณะเดียวกันธนาคารซิตี้แบงก์ ประเมินว่าไตรมาส 3/68 ราคาทองคำจะวิ่งอยู่ที่ประมาณ 3,100 - 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ชนราคาทองแท่งแตะ 54,000 บาทไปแล้ว แต่ทิ้งท้ายว่า Gold Spot จะไปแตะที่ 3,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เมื่อสงครามจบทั้งยูเครน-รัสเซีย ซึ่งเชื่อว่าราคาทองจะไม่หลุด 3,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนผ่านมา 3 ปียังไม่มีวี่แววว่าจะจบ ฝ่ายนาโต้สนับสนุนอาวุธช่วยยูเครนจึงไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จบง่าย ๆ ดังนั้นคาดว่าทองจะไม่ลงลึก
โดยปัจจุบันราคา Gold Spot อยู่ที่ 3,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และมีโอกาสขึ้น 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยตามแผน แต่ถ้าตรงกันข้ามเฟดยังไม่ลดดอกเบี้ยเชื่อว่าทองยังไปไม่ไกล เพราะดอกเบี้ยสูงเอื้อถือครองดอลลาร์ ถ้าดอกเบี้ยลง เงินลงทุนก็จะถูกโยกไปลงทุนสินทรัพย์อื่นแทน โดยราคาทองแท่งช่วงนี้อยู่ที่ 53,000 บาท และลงลึกไปแตะที่ 50,600 บาท Gold Spot อยู่ที่ 3,260 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
สำหรับราคาทองคำแท่งในช่วง 1 ม.ค.อยู่ที่ 42,650 บาท ปัจจุบันอยู่ที่ 51,300 บาท ขึ้นมา 8,650 บาท หรือประมาณ 20% ขณะที่ปีก่อนปรับขึ้น 30% หรือประมาณ 10,000 บาท เป็นเรื่องสงครามการค้า ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ทำให้แบงก์ชาติทั่วโลกไม่มั่นใจสหรัฐฯ เพราะถ้าสหรัฐฯ ไปขัดแย้งกับใครก็จะโดนลงโทษ เช่นรัสเซียถูกถูกคว่ำบาตร (แซงก์ชั่น) และพันธบัตรถูกอายัด ทำให้ประเทศต่าง ๆ หันมาซื้อทองแทนดอลลาร์ เพื่อป้องกันความเสี่ยง
ส่วนการลงทุนต้องเข้าให้ถูกจังหวะไม่ควรไล่ซื้อเมื่อราคาสูงอาจทำให้ขาดทุน ดังนั้นเงินที่ใช้ลงทุนควรเป็นเงินเย็นไม่ควรกู้ยืมมาลงทุนเพราะเสียดอกเบี้ย ถ้าลงทุนผิดทางก็เกิดผลเสีย 2 ทางคือขาดทุน และต้องจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวัง สำหรับการลงทุนทองคำโดยเฉลี่ยให้ผลตอบแทน 8% ดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก 1-2%
จากเสียงสะท้อนของผู้คว่ำหวอดในวงการ แม้ทองคำจะถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และช่วยกระจายความเสี่ยงในวิกฤติต่าง ๆ แต่ในมุมกลับ ก็ต้องระวังว่าหากสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลาย ราคาทองคำอาจปรับตัวลงแรงได้ และถ้านักลงทุนปรับตัวไม่ทัน จากสินทรัพย์ปลอดภัย อาจกลายเป็นสินทรัพย์ที่สร้างความเสียหายต่อพอร์ตลงทุนก็เป็นได้....
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
