รีเซต

ทำไม “เนเธอร์แลนด์” จัดการ “น้ำท่วม” ได้ดีที่สุดในโลก?​

ทำไม “เนเธอร์แลนด์” จัดการ “น้ำท่วม” ได้ดีที่สุดในโลก?​
TNN ช่อง16
26 พฤศจิกายน 2568 ( 17:46 )

“เนเธอร์แลนด์” แปลว่า “ดินแดนที่อยู่ต่ำ” ซึ่งก็ตรงกับสภาพภูมิประเทศ เพราะพื้นที่กว่า 1 ใน 3 ของเนเธอร์แลนด์อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ทำให้เนเธอร์แลนด์เป็นชาติที่เสี่ยงอย่างยิ่งต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอากาศ ทั้งจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น, ฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก และดินทรุดตัว .. ล้วนทำให้ประเทศเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมไม่น้อยกว่า 60% รวมถึงเมืองหลัก และสนามบินนานาชาติ ที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ยถึง 5 เมตร 


ดินแดนที่เป็นเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน เผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมมานานกว่า 2,000 ปี แต่ชาวดัตช์ก็ไม่เคยยอมแพ้ จนถึงขั้นมีคำกล่าวที่ว่า “พระเจ้าสร้างโลก แต่ชาวดัตช์สร้างเนเธอร์แลนด์” ที่สะท้อนถึงความสามารถของพวกเขาในการต่อสู้และรับมือกับภัยธรรมชาติ


เมื่อปี 1953 เกิดเหตุน้ำท่วมครั้งประวัติศาสตร์ของทะเลเหนือ (North Sea Flood) พายุ และคลื่นทะเลที่สูงเกือบ 5 เมตร ซัดเข้าชายฝั่งสก็อตแลนด์, เบลเยียม, อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ เหตุการณ์นั้นมีผู้เสียชีวิตกว่า 2,000 ราย และเป็นชาวดัตช์มากถึง 1,835 ราย พื้นที่กว่า 9% ของประเทศจมอยู่ใต้น้ำ และพื้นที่เกษตรเสียหายเป็นวงกว้าง 


จากหายนะในครั้งนั้นเอง รัฐบาลจึงตั้งเป้าว่า “จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกสักครั้งเดียว”

ชาวดัตช์จึงหาทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน มีการจัดตั้ง “Delta Commission” หรือคณะกรรมาธิการเดลตา (พื้นที่ปากแม่น้ำ) เพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว โดยมีหน้าที่ในการดูแลจัดการเกี่ยวกับน้ำ และกำหนดแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ  เป้าหมายเพื่อป้องกันน้ำท่วม ทั้งพื้นที่ภายในประเทศและชายฝั่ง  พร้อมกับต้องรับประกันว่าเนเธอร์แลนด์จะต้องมีน้ำจืดสำหรับอุปโภค-บริโภคได้อย่างเพียงพอด้วย - และคณะกรรมาธิการชุดนี้ก็ให้ข้อมูลทุกด้านเกี่ยวกับนำ ให้กับรัฐบาลเป็นประจำทุก ๆ ปี 


(ภาพโครงการกั้นน้ำต่าง ๆ ของเนเธอร์แลนด์: Getty Images)

คณะกรรมาธิการเดลตาได้ริเริ่มโครงการระดับชาติ ที่รู้กันในนาม “Delta Works” ซึ่งเป็น “แผนปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ที่ได้รับการยกย่องว่านี่คือ “หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมของโลก”


โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาระบบการจัดการน้ำของประเทศ และเพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติที่เกี่ยวกับน้ำ  มีโครงการอย่างน้อย 16 โครงการ รวมทั้ง การสร้างเขื่อน, ประตูระบายน้ำ, แนวกั้นคลื่นซัดฝั่ง และคันกั้นน้ำ ที่เชื่อมโยงกันทั้งภาคตะวันตกของประเทศ  ที่รวมแล้วมีการใช้เงินลงทุนมูลค่า 1,300 ล้านยูโร (ราว 4.8 หมื่นล้านบาท) เป็นประจำทุกปี ไปจนถึงปี 2050  


โครงสร้างเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อแยกน้ำทะเลออกจากน้ำจืด ทำให้แนวชายฝั่งถูกขยายออกไปไกลขึ้นสู่ทะเล และห่างจากพื้นที่อยู่อาศัยมากขึ้น  โดยน้ำที่กักเก็บอยู่ด้านหลังแนวป้องกันเหล่านี้เป็นน้ำจืดที่เหมาะสำหรับการเกษตร ประตูระบายน้ำสามารถเปิด-ปิดได้ตามความจำเป็น โดยมักจะปิดลงในสภาพอากาศที่เลวร้ายเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำทะเลไหลเข้าร่วมพื้นที่อยู่อาศัย

ตัวอย่างโครงการ Delta Works


1. Oosterscheldekering - ประตูกันพายุที่ใหญ่ที่สุดในโลก

- เป็นหัวใจของ Delta Workds และเป็นสัญลักษณ์การอยู่ร่วมกับทะเลอย่างยั่งยืน

- ยาว 9 กิโลเมตร

- เปิดทิ้งไว้ให้ทะเลไหลเวียนได้ แต่ “ปิด” เมื่อน้ำทะเลหนุนสูง หรือพายุพัดเข้า

- ลดความเสี่ยงน้ำท่วมบริเวณ Zeeland ได้มาก


2. Maeslantkering - แขนกลกั้นน้ำที่ปิดอัตโนมัติ

- ปกป้องเมืองท่าสำคัญ รอทเทอร์ดัม

- มีกลไกแขนเหล็กยาวเท่ากับขนาดของหอไอเฟล

- มีระบบ AI ที่สามารถสั่งปิดประตูได้เองเพื่อระดับน้ำถึงจุดวิกฤต

- ใช้งานได้เฉพาะสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อประหยัดงบ-คงสภาพระบบนิเวศ


3. Afsluitdijk - เขื่อนกันทะเลสร้าง “ทะเลสาบน้ำจืด”

- เขื่อนยาว 32 กิโลเมตร กั้นทะเลเหนือ

- เปลี่ยนพื้นที่ทะเลให้กลายเป็น “ทะเลสาบน้ำจืด IJsselmeer” 

- เป็นแหล่งน้ำสำรองใหญ่ของประเทศ

- ป้องกันพายุ และน้ำทะเลหนุนจากทะเลเหนือ


โครงการ Delta Works นี้ เป็นแนวคิดในการบริหารจัดการน้ำระยะยาว ไม่ใช่แบบปีต่อปี โดยมีโครงการต่าง ๆ ที่วางแผนเอาไว้จนถึงปี 2100  และการยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับ “น้ำ” คือหนึ่งในหัวใจสำคัญในการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรมต่าง ๆ เพราะในเมื่อย้ายประเทศไม่ได้ .. คนเนเธอร์แลนด์ก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง