รีเซต

ปี 54 VS 67 เทียบชัดๆ วิกฤตน้ำท่วม หลัง 9 ปีผ่านไป ไทยจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่?

ปี 54 VS 67 เทียบชัดๆ วิกฤตน้ำท่วม หลัง 9 ปีผ่านไป ไทยจะซ้ำรอยเดิมหรือไม่?
TNN ช่อง16
22 สิงหาคม 2567 ( 13:45 )
24

บทเรียนจากมหาอุทกภัย 2554 สู่การบริหารจัดการน้ำในปี 2567 - ความก้าวหน้าและความท้าทาย


อุทกภัยเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหายต่อประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 ที่ถือเป็นครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลถึง 1.44 ล้านล้านบาท บทความนี้จะวิเคราะห์เปรียบเทียบสถานการณ์น้ำท่วมระหว่างปี 2554 และ 2567 เพื่อศึกษาบทเรียน ความก้าวหน้า และความท้าทายในการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย


ปริมาณน้ำฝนและสภาพอากาศ - จุดเริ่มต้นของวิกฤต


ปี 2554 เป็นปีที่มีปริมาณฝนสูงผิดปกติ โดยมีปริมาณฝนรวมทั้งปีสูงถึง 1,826 มิลลิเมตร มากกว่าค่าเฉลี่ยถึง 25% ฝนเริ่มตกเร็วกว่าปกติตั้งแต่เดือนมีนาคม และมีฝนตกหนักต่อเนื่องจนถึงปลายปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคมที่มีพายุ 5 ลูกพัดผ่านประเทศไทย ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำและเขื่อนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว


ในปี 2567 แม้ยังไม่สิ้นสุดฤดูฝน แต่จากข้อมูล ณ วันที่ 18 สิงหาคม 2567 พบว่าหลายพื้นที่มีฝนตกหนัก โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน และหนองคาย มีปริมาณฝนสะสม 24 ชั่วโมงสูงถึง 90-120 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ฝนตกหนักมาก แม้ว่าปริมาณฝนโดยรวมยังไม่สูงเท่าปี 2554 แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้


สถานการณ์น้ำในแม่น้ำสายหลัก - ผลพวงจากปริมาณฝนที่มากผิดปกติ


ในปี 2554 แม่น้ำเจ้าพระยาที่สถานี C.2 จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่านสูงสุดถึง 4,686 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2554 และมีปริมาณน้ำรวมทั้งปีสูงถึง 48,615 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าปีที่เกิดอุทกภัยรุนแรงในอดีตอย่างปี 2538, 2545 และ 2549


สำหรับปี 2567 ข้อมูล ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2567 แสดงให้เห็นสถานการณ์น้ำในแม่น้ำสายหลักที่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ

- แม่น้ำเจ้าพระยาที่สถานี C.2 (นครสวรรค์): ระดับน้ำอยู่ที่ 19.06 เมตร ต่ำกว่าระดับตลิ่ง 6.64 เมตร

- แม่น้ำมูลที่สถานี M.7 (อุบลราชธานี): ระดับน้ำอยู่ที่ 3.48 เมตร ต่ำกว่าระดับตลิ่ง 3.52 เมตร

- แม่น้ำน่านที่สถานี N.7A (พิจิตร): ระดับน้ำอยู่ที่ 4.68 เมตร ต่ำกว่าระดับตลิ่ง 5.19 เมตร


อย่างไรก็ตาม มีการเตือนภัยเฉพาะพื้นที่ เช่น จังหวัดแพร่ ซึ่งศูนย์บริหารจัดการน้ำจังหวัดแพร่ได้ประกาศแจ้งเตือนว่าสถานการณ์น้ำอาจจะรุนแรงเทียบเท่าปี 2554 เนื่องจากปริมาณน้ำจากอำเภอปงและเชียงม่วน จังหวัดพะเยา ไหลผ่านสถานีห้วยสัก ตำบลสะเอียบ ด้วยอัตรา 1,390 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที


สรุปสถานการณ์พายุที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในปี 2554 เปรียบเทียบกับปี 2567


ในปี 2554 ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุถึง 5 ลูก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ประกอบด้วยพายุโซนร้อน "ไหหม่า" "นกเต็น" "ไห่ถาง" และพายุไต้ฝุ่น "เนสาด" และ "นาลแก" พายุเหล่านี้ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงตุลาคม โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำและเขื่อนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินขีดความสามารถในการรับน้ำ


ในทางตรงกันข้าม ข้อมูลสำหรับปี 2567 (ณ เดือนสิงหาคม) ยังไม่มีรายงานถึงพายุที่ส่งผลกระทบรุนแรงเทียบเท่ากับปี 2554 แม้ว่าจะมีรายงานฝนตกหนักในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่สถานการณ์โดยรวมยังอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากฤดูมรสุมยังไม่สิ้นสุด และสภาพอากาศที่แปรปรวนอาจทำให้เกิดพายุฝนรุนแรงได้ในอนาคต



ปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำ - ตัวชี้วัดสำคัญของสถานการณ์น้ำ


ในปี 2554 เขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 33 แห่งรับน้ำในปริมาณมหาศาล โดยตลอดทั้งปีมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสะสมรวมกันมากถึง 71,769 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดเท่าที่เคยมีมา โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีปริมาณน้ำเกินระดับกักเก็บปกติ


ปัจจุบันในปี 2567 ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2567 สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง

- ปริมาณน้ำรวม: 41,812 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 59% ของความจุอ่าง

- ปริมาณน้ำใช้การได้: 18,227 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 38% ของความจุอ่าง

- เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน: 457.26 ล้านลูกบาศก์เมตร


สถานการณ์น้ำในเขื่อนสำคัญ

- เขื่อนภูมิพล: 42% ของความจุอ่าง (เพิ่มขึ้น 101.22 ล้าน ลบ.ม.)

- เขื่อนสิริกิติ์: 59% ของความจุอ่าง (เพิ่มขึ้น 299.18 ล้าน ลบ.ม.)

- เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์: 30% ของความจุอ่าง (เพิ่มขึ้น 23.10 ล้าน ลบ.ม.)


แม้ว่าปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่ยังอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุ


พื้นที่ประสบอุทกภัยและผลกระทบ - ความรุนแรงที่แตกต่าง


มหาอุทกภัยปี 2554 ส่งผลกระทบรุนแรงและกว้างขวาง

- พื้นที่ประสบภัย: 65 จังหวัด 684 อำเภอ 4,920 ตำบล 43,636 หมู่บ้าน

- ประชาชนได้รับผลกระทบ: กว่า 13 ล้านคน

- ผู้เสียชีวิต: 815 ราย สูญหาย 3 ราย

- พื้นที่การเกษตรเสียหาย: 11.20 ล้านไร่

- มูลค่าความเสียหายรวม: 1.44 ล้านล้านบาท


ในปี 2567 จากรายงานล่าสุด ณ วันที่ 20 สิงหาคม 2567 สถานการณ์อุทกภัยมีขอบเขตจำกัดกว่ามาก

- พื้นที่ประสบภัย: 3 จังหวัด (เพชรบูรณ์ พะเยา เชียงราย) 12 อำเภอ 27 ตำบล 74 หมู่บ้าน

- ครัวเรือนได้รับผลกระทบ: 1,724 ครัวเรือน


ความแตกต่างอย่างชัดเจนนี้สะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำและการเตรียมพร้อมรับมือที่ดีขึ้นในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง


การบริหารจัดการน้ำและมาตรการป้องกัน - บทเรียนสู่การพัฒนาและความท้าทายปัจจุบัน


บทเรียนจากมหาอุทกภัยปี 2554 นำไปสู่การปรับปรุงระบบบริหารจัดการน้ำของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

- จัดตั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นหน่วยงานกลางบูรณาการการทำงานด้านน้ำ

- พัฒนาระบบพยากรณ์และเตือนภัยให้แม่นยำขึ้น

- ก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ


ในปี 2567 เห็นการทำงานเชิงรุกของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนล่วงหน้า


1. สทนช. ประกาศเตือนเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในช่วงวันที่ 24 – 30 ส.ค. 67 ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงใน 28 จังหวัดทั่วประเทศ

2. เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 ของความจุ

3. เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ บริเวณแม่น้ำสายหลักและลำน้ำสาขาต่างๆ


นอกจากนี้ ยังมีการใช้มาตรการเชิงรุกในการบริหารจัดการน้ำ เช่น การใช้ฝายแม่ยมในจังหวัดแพร่เพื่อหน่วงน้ำให้อยู่ในระดับ 850 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ


มาตรการรับมือและคำแนะนำสำหรับประชาชนก็มีความชัดเจนมากขึ้น

1. ใช้ขอบเขตน้ำท่วมปี 2554 เป็นพื้นที่เฝ้าระวัง

2. ยกของมีค่าขึ้นที่สูงให้พ้นระดับน้ำ

3. ดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วย และเด็กให้อยู่ในที่ปลอดภัย

4. ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด


---------------


การเปรียบเทียบสถานการณ์น้ำท่วมระหว่างปี 2554 และ 2567 แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่สำคัญในด้านการบริหารจัดการน้ำและการเตือนภัยของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ยังคงมีความเสี่ยงสูงและต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด 


ความท้าทายสำคัญในปัจจุบันคือ

1. การบูรณาการข้อมูลและการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพสูงสุด

2. การพัฒนาระบบพยากรณ์และเตือนภัยให้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในระดับพื้นที่ย่อย

3. การสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเฝ้าระวังและป้องกันภัยพิบัติทางน้ำ

4. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการบริหารจัดการน้ำให้สามารถรองรับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและมีความรุนแรงมากขึ้น


แม้ว่าประเทศไทยจะมีความพร้อมในการรับมือกับอุทกภัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2554 แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้รูปแบบฝนมีความแปรปรวนและรุนแรงมากขึ้น จึงยังคงเป็นความท้าทายสำคัญในการบริหารจัดการน้ำของประเทศ การเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตและการปรับตัวอย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงและผลกระทบจากอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต


ท้ายที่สุด การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเกิดขึ้น เพื่อลดความสูญเสียและสร้างความยืดหยุ่นในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติในอนาคต



---------------------------------------


สรุปเปรียบเทียบสถานการณ์อุทกภัยปี 2554 กับ 2567 ฉบับเข้าใจง่าย 


1. ปริมาณน้ำฝน

   - 2554: ปริมาณฝนสูงผิดปกติ 1,826 มม. (มากกว่าค่าเฉลี่ย 25%)

   - 2567: ฝนตกหนักเฉพาะบางพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ (90-120 มม./24 ชม.)


2. ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลัก

   - 2554: แม่น้ำเจ้าพระยาที่นครสวรรค์มีน้ำไหลผ่านสูงสุด 4,686 ลบ.ม./วินาที

   - 2567: ระดับน้ำยังต่ำกว่าตลิ่ง แต่มีการเตือนภัยในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดแพร่


3. ปริมาณน้ำในเขื่อน

   - 2554: น้ำไหลลงเขื่อนรวม 71,769 ล้าน ลบ.ม. (สูงสุดเป็นประวัติการณ์)

   - 2567: ปริมาณน้ำรวม 41,812 ล้าน ลบ.ม. (59% ของความจุ)


4. พื้นที่ประสบภัย

   - 2554: 65 จังหวัด ประชาชนได้รับผลกระทบ 13 ล้านคน

   - 2567: 3 จังหวัด ครัวเรือนได้รับผลกระทบ 1,724 ครัวเรือน


5. การบริหารจัดการ

   - 2554: ขาดการบูรณาการและระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ

   - 2567: มีการจัดตั้ง สทนช. พัฒนาระบบเตือนภัย และมีมาตรการป้องกันที่ดีขึ้น


สถานการณ์ในปี 2567 ยังไม่รุนแรงเท่าปี 2554 แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง การบริหารจัดการน้ำและระบบเตือนภัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นความท้าทายสำคัญที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือ


ภาพ TNN 

เรียบเรียงโดย : ยศไกร รัตนบรรเทิง บรรณาธิการ TNN 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง