รีเซต

เจาะ SFLEX ถุงสินค้าจำเป็น หนุนความเสี่ยงต่ำ แนวโน้มโต

เจาะ SFLEX ถุงสินค้าจำเป็น หนุนความเสี่ยงต่ำ แนวโน้มโต
ทันหุ้น
18 กรกฎาคม 2566 ( 13:01 )
55

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ส่องหุ้น SFLEX หรือ บริษัท สตาร์เฟล็กซ์ จำกัด (มหาชน)  โดยประเมินว่าลูกค้าหลักของ SFLEX เป็นผู้ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภคที่จำเป็นต่อการใช้ ชีวิตประจำวัน อาทิ ยูนิลีเวอร์ไลอ้อน นีโอแฟคทอรี่ (ผู้ผลิตน้ำยาปรับผ้านุ่ม Fineline D-nee) เป็นต้น โดย SFLEX เป็นผู้ผลิตพลาสติกชนิดอ่อน (Flexible packaging) โดยร่วมคิดค้นและพัฒนาบรรจุภัณฑ์กับลูกค้า ทั้งเพื่อการตอบ โจทย์การใช้งาน และเหตุผลทางการตลาด

 

ฝ่ายวิจัยประเมิน Flexible packaging เป็นผลิตภัณฑ์ที่ “จำเป็นต้องใช้” ของผู้ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภค แม้ว่ามูลค่า ของบรรจุภัณฑ์ฯ จะคิดเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยของราคาขายปลีกสินค้า อุปโภค-บริโภค แต่กลับเป็นส่วนที่ “ขาดไม่ได้” ทำให้ผลการดำเนินงานของSFLEX มีความเสี่ยงต่ำ และมีแนวโน้มโตไปกับสินค้าอุปโภค-บริโภค

 

บริหารจัดการต้นทุนเม็ดพลาสติกได้ดี ตลอดทั้งปี ปี 2565

 

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาอัตรากำไรขั้นต้นของ SFLEX ปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็น ประวัติการณ์โดยเฉพาะใน Q2 – Q3 เป็นผลจาก i) ราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นอย่าง รวดเร็วจากสถานการณ์ในยุโรป (รัสเซีย - ยูเครน) ส่งผลต่อราคาเม็ดพลาสติก ในตลาดโลก ii) การขนส่งที่ติดขัดขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ค่าระวางที่พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ ส่งผลต่อการขนส่งวัตถุดิบทั่วโลก

 

อย่างไรก็ดี ผู้บริหาร เริ่มการปรับปรุงระบบบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบตั้งแต่ Q4/65 โดยเพิ่มคู่ค้าในประเทศต่างๆ (Global sourcing) ทยอยสะสมวัตถุดิบราคาต่ำให้เพียงพอต่อ การใช้งานถึงสิ้นปีนี้เป็นอย่างน้อย ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวขึ้นมาสู่ระดับปกติ โดยคาดจะเห็น Earnings momentum โตเด่น YoY ต่อเนื่องทุกไตรมาสจนถึง Q4/66 นี้เป็นอย่างน้อย

 

นอกจากนี้อุปทานเม็ดพลาสติกที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในภูมิภาคเอเชียใน 2H66 – 2567 จะเป็นอีกปัจจัยที่กดดัน ราคาวัตถุดิบให้ทรงตัวเป็นผลดีต่อการบริหารจัดการต้นทุนของ SFLEX

 

 

กำไรปีนี้ฟื้น +231% YoY / ปีหน้าโตแบบ Inorganic

 

เราคาดกำไรปี 2566 จะฟื้นตัว +231% YoY เป็น 182 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของ ทั้งรายได้ (คาดโต +15% YoY) อัตรากำไรขั้นต้น (คาดฟื้นตัวเป็น 19.7% จาก 12.6% ในปีก่อน) และตั้งแต่ Q4/66 จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน ธุรกิจ JV ร่วมกับทาง SCGP* ที่เวียดนาม (SPV: ผลิตกล่องกระดาษแข็งแบบพับ ได้ (Offset Folding Carton) โดย SFLEX จะถือหุ้นใน SPV 25% SCGP* 70% นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยคาดโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารกับทาง TU* จะเริ่มเดินเครื่องผลิตใน 2H67 ทำให้คาดกำไรของ SFLEX ใน 3 ปีข้างหน้าจะหนุนจากทั้ง Organic growth และ Inorganic growth ให้โตเฉลี่ยปีละ +63% CAGR (2565 – 68) โดยประเมินการลงทุนทั้ง 2 JV จะทำให้อัตราส่วน DE ของ SFLEX ในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็นราว 1.08 เท่า (จาก 0.74 เท่า ณ 1Q66) ซึ่งยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก กระแสเงินสดจากธุรกิจหลักยังสามารถบริหารจัดการภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้ คาดหวังการยกระดับเรตติ้ง CG โดย Thai IOD 

 

ทั้งนี้จากทฤษฎีเรื่อง Corporate governance สามารถถ่ายทอดให้กันได้ โดยบริษัทที่มีระดับ CG ที่ต่ำกว่าจะได้รับการถ่ายทอดจากบริษัทที่มีระดับ CG ที่สูง กว่า ผ่านทางการควบรวมกิจการหรือการร่วมทุน ฝ่ายวิจัยคาดหวังจะเห็น SFLEX ได้รับการปรับระดับ CG โดย Thai IOD ขึ้นจากปัจจุบันในปี 2565 ที่ระดับ 4 ดาว เป็น 5 ดาวในปี 2567 เนื่องจากพันธมิตรทางธุรกิจทั้ง 2 บริษัท (SCGP* TU*) ต่างมีระดับ CG 5 ดาว และจากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร ฝ่ายวิจัยประเมินผู้บริหาร SFLEX มีเป้าหมายในการยกระดับ CG และรวมถึง ESG ให้สูงขึ้นอยู่ ตลอดเวลา

 

ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเหมาะสมหุ้น SFLEX ได้เท่ากับ 6.2 บาท ***

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง