ผลตรวจเชื้อโควิด ครั้งที่1 และ ครั้ง2 ไม่ตรงกันมาจากปัจจัยอะไรบ้าง
วันนี้ (7ธ.ค.64) นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อธิบายถึงการตรวจหาเชื้อโควิด ว่า สมมติจำนวนเชื้อไวรัสที่ถูกเก็บออกมา มีจำนวนมาก เช่น มี 100 ตัว นำเข้าเครื่องปั่น ปั่นรอบแรกเจอ หากมี 50 ตัวก็จะต้องถูกปั่น 2 รอบถึงจะเจอ 25 ตัว ปั่น4 รอบถึงจะเจอ หากเชื้อไม่ถึงตัว เครื่องปั่นไม่สามารถที่จะจับได้ ก็ทำให้มีการปั่นรอบมากขึ้น ซึ่งการเพิ่ม 1 รอบ คือ การเพิ่มจำนวนยีนเข้าไป เติมน้ำยาเพื่อให้จำนวนยีนมากพอเพื่อจับกับไวรัส ยิ่งปั่นรอบมากเท่าไหร่เท่ากับว่าเชื้อตั้งต้น มีนิดเดียว
นพ.จักรรัฐ กล่าวว่าส่วนชายวัย 44 ปี ที่เป็นพนักงานเสิร์ฟอาหาร ซึ่งเป็นผู้สัมผัสชาวอเมริกันที่ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในไทย มีการนำตัวอย่างจากการ swab 2 รอบ โดยนำตัวอย่างเชื้อเข้าเครื่องปั่น ทั้งหมด 37 รอบ ถึงจะเจอเชื้อ หมายความว่าปริมาณเชื้อในรายนี้น้อยมาก โอกาสที่จะติดเชื้อต่ำมาก รวมถึงการจะแพร่เชื้อสู่คนอื่นก็น้อยมากเช่นเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นลักษณะของการติดเชื้อมาก่อนโดยไม่รู้ตัวแล้วก็หายไปแล้ว แล้วที่พบอาจจะเป็นซากเชื้อ หรือปัจจัยที่ 2 คือเครื่องอาจจะแปลผลผิด ซึ่งมีความเป็นไปได้
ปัจจัยที่ทำให้ผล2รอบไม่ตรงกัน
- ติดเชื้อแล้วไม่ทราบมาก่อน อาจเป็นซากเชื้อ
- กับผลแล็ปผิดพลาด ซึ่งเกิดขึ้นได้
ชายวัย 44 ปี ปริมาณเชื้อน้อยมาก หากตรวจด้วยATK ก็ไม่เจอเชื้อ
วิธีการตรวจด้วย RT- PCR คือการตรวจหา ”สารพันธุกรรมของไวรัส เป็นการนำตัวอย่างเชื้อที่ทำการ swab มาแล้ว เข้าเครื่อง เครื่องก็จะทำการหมุนเพิ่มจำนวนเชื้อ หรือเพิ่มจำนวนยีนเข้าไป
ขณะที่ ถ้าค่า CT ต่ำกว่า 25 ชุดตรวจATK ถึงจะตรวจเจอเชื้อ เท่ากับว่าการจะตรวจเจอเชื้อโควิคจากชุดตรวจ ATK จำนวนเชื้อต้องมีปริมาณเยอะ
**CT หรือ CycleTime คือ ค่าการปั่นเชื้อต่อ 1 รอบ ** ยิ่งผลตรวจออกมาได้ค่า CT น้อยๆ แสดงว่ามีเชื้อไวรัสเยอะ เพราะทำแค่ไม่กี่รอบ ก็สามารถเพิ่มสารพันธุกรรมจนตรวจเจอได้แล้ว หากเป็นจำนวนเชื้อปกติ ปั่นไม่เกิน 30 รอบ ก็เจอเชื้อ หรือเข้าใจง่ายๆ หากค่า CT น้อยเท่ากับเชื้อมาก แต่ถ้าค่าCTมาก เท่ากับเชื้อน้อย
"การตรวจเชื้อ RT-PCR แต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นผลลบหรือผลบวกขึ้นอยู่กับวิธีการเก็บตัวอย่างเชื้อด้วย"
ภาพจาก TNN ONLINE