โบรกฯ แนะทยอยสะสมหุ้นถูก-แนวโน้มกำไรดี ชี้ตลาดสะท้อนปัจจัยลบแล้ว

#ทันหุ้น-ฝ่ายวิจัยบล.เอเซีย พลัส ระบุว่าดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 1,170 จุด ซึ่งลงแรงทิ้งห่างเส้น SMA 125 วัน มาแล้วกว่า 206 จุด และอยู่ในระดับต่ำกว่า -2SD แสดงให้เห็นว่า SET ลงมาเร็วและแรงในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเกินกว่าปกติมาก หรือสะท้อนความกลัวจากปัจจัยต่างๆ ไประดับหนึ่งแล้ว
กลยุทธ์แนะนำทยอยสะสมหุ้นถูก (PBV<1) และมีอัตราการทำกำไรที่ดี EARNING YIELD > 4% อย่าง BCP, TOP,AP, SPALI, SIRI, PTTEP, BBL, PTT, TU, LH, CPF, JMART, SCGP, SCC, STECON และหุ้นอื่นๆ ตามตาราง
นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส มองว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาแรง 11.87%YTD สาเหตุหนึ่งมาจากการโยกย้ายเม็ดเงินเข้าตลาดตราสารหนี้ โดยมูลค่าคงค้างตราสารหนี้ไทยล่าสุดอยู่ที่ 17.1 ล้านล้านบาท ซึ่งสวนทางกับขนาด MARKET CAP ของ SET ที่ล่าสุดอยู่ระดับ 14.6 ล้านล้านบาท เท่านั้น ซึ่งหากสังเกตจากข้อมูลในอดีต มูลค่าตลาดหุ้นไทย(MARKET CAP) ไม่เคยน้อยกว่ามูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ตั้งแต่ปี 2552-2567 แต่ล่าสุดในปี 2568 น้อยกว่าถึง 2.5 ล้านล้านบาท
ซึ่งฝ่ายวิจัยฯคาดว่าเม็ดเงินดังกล่าวมีโอกาสโยกย้ายเข้าฝั่งตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป โดยมี 3 เหตุผลสนับสนุน ดังนี้
1. อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในช่วงขาลงทั่วโลกรวมถึงไทย ที่ในปีนี้มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง เหลือ1.75% หากตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดังที่หวังไว้ (ตามการคาดการณ์ของ BLOOMBERG CONSENSUS)
2. ปัญหาธรรมมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนในหลายบริษัทในช่วงก่อนหน้านี้ กดดันให้การออกหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวน้อยลง โดยเฉพาะหุ้นกู้ในกลุ่มที่มี RATING น้อยกว่า BBB โดยทาง THAIBMA คาดการณ์ว่ามูลค่าการออกตราสารหนี้ระยะยาวปี 2025 จะอยู่ที่ 8.0-8.5 แสนล้านบาทเท่านั้น (ลดลง 6.9%YOY -12.4%YOY)
3. ระดับ MARKET EARNING YIELD GAP ของไทยดูโดดเด่น โดย EYG ของ SET ที่ EPS 89 บาท/หุ้น ที่ 7.6% -> MEYG 5.6% ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯมี EYG 4.9% -> MEYG 0.4% ส่วนประเทศเพื่อนเราเรา ทั้งฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย ก็มีระดับ MEYG ต่ำกว่าไทยทั้งสิ้น