"อียู-จีน" จับมือเศรษฐกิจ วางแผนพบกันต้นเดือนหน้า ต้าน"ภาษีทรัมป์"

หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ แห่งสหรัฐฯขู่ขึ้นภาษีสหภาพยุโรป หรือ อียู (EU) ถึง 50%
ในวันที่ 1 มิ.ย. 68 ก่อนจะเลื่อนเวลาออกไปเป็น 9 ก.ค. 68 นี้
จับตาไปที่การเคลื่อนไหวระหว่าง "อียู และ จีน" ว่าจะจับมือหรือตอบโต้กลับในทิศทางไหน
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการค้าจากสหภาพยุโรป หรือ อียู (EU) และจีนวางแผนที่จะพบกันอีกครั้งในช่วงต้นเดือนหน้าเป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้ เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายกำลังเพิ่มความร่วมมือกันมากขึ้น เพื่อพยายามต่อต้านแรงกดดันด้านภาษีศุลกากรจาก"ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์" แห่งสหรัฐฯ
โกลบอล ไทมส์ ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลจีนรายงานว่า โฆษกของสหภาพยุโรป หรือ อียู เผยว่านาย "หวัง เหวินเทา" รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน และ "มารอส เซฟโควิช" กรรมาธิการยุโรปด้านการค้าและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เตรียมพบกันระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่กรุงปารีสในช่วงต้นเดือนมิถุนายน
โฆษกของสหภาพยุโรปไม่ได้ยืนยันเวลาที่แน่นอนของการเจรจากับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก และกระทรวงพาณิชย์ของจีนไม่ได้ตอบกลับคำขอให้แสดงความคิดเห็นในทันทีในช่วงบ่ายของวันจันทร์
ข่าวการหารือดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตกลงที่จะขยายเส้นตายที่สหภาพยุโรปต้องเผชิญภาษีศุลกากร 50% ออกไปจนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 หลังจากได้โทรศัพท์พูดคุยกับ "อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน" ประธานคณะกรรมาธิการสหรภาพยุโรป ซึ่งการเลื่อนการเก็บภาษีอียูออกไปถึงเดือนกรกฎาคม นับเป็นเดือนเดียวกันกับที่ผู้นำยุโรปจะเดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเพื่อร่วมประชุมสุดยอดกับผู้นำจีน
ทั้งนี้รัฐบาลจีนพยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์กับทั่วโลกเพื่อต่อต้านระบบ"ภาษีศุลกากรของทรัมป์" รวมถึงการเปิดโอกาสให้กลุ่มยุโรปเข้าถึงผู้กำหนดนโยบายระดับสูงในวงจำกัด และให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจของจีนสำหรับบริษัทต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ในมุมของเจ้าหน้าที่ด้านการค้าของยุโรปยังคงมีข้อสงสัยในความจริงจังของจีน โดยอ้างถึง "ความเหนื่อยล้าจากคำสัญญา" และข้อพิพาทที่ยังคงดำเนินอยู่เกี่ยวกับประเด็นต่างๆ เช่น การสนับสนุนของรัฐต่อบริษัทจีนและอุปสรรคการค้า
จีน-อียู เร่งขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ฝ่าสงครามภาษีสหรัฐ หลังการลงทุนจากจีนในยุโรปปี 2567 เพิ่มขึ้น 47% แตะ 10,000 ล้านยูโร
สำนักข่าว China Daily รายงานว่า จีนและสหภาพยุโรป หรือ อียู (EU) กำลังยกระดับความร่วมมือในช่วงเวลาที่สหรัฐเพิ่มแรงกดดันด้านภาษีและการค้าโลกมีแนวโน้มแตกแยกมากขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า นี่สะท้อนถึงพันธกิจร่วมกันของจีนและอียู ที่มุ่งสู่ความเปิดกว้าง เสถียรภาพ และผลประโยชน์ร่วมกันในโลกที่ไม่แน่นอนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในปี 2567 การลงทุนจากจีนในอียู เพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า คิดเป็นมูลค่า 10,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 1.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการฟื้นตัวครั้งสำคัญครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2559
การเติบโตดังกล่าวขับเคลื่อนโดยการลงทุนแบบ “Greenfield” คือ การที่บริษัทแม่ไปตั้งธุรกิจใหม่จากศูนย์ในประเทศปลายทางทำสถิติสูงสุด และการฟื้นตัวของการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสอดคล้องทางเศรษฐกิจที่ยังคงมีอยู่ระหว่างทั้งสองฝ่าย ตามรายงานร่วมจาก "Rhodium Group" ในนิวยอร์ก และสถาบันวิจัย "Mercator Institute for China Studies" ของเยอรมนี
ด้านนักวิเคราะห์ระบุว่า แนวโน้มนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและอียู ในช่วงที่นโยบายภาษีฝ่ายเดียวของสหรัฐเสี่ยงทำลายห่วงโซ่อุปทานโลก ทั้งยังชี้ว่า การเสริมสร้างความร่วมมือในด้านพลังงานสะอาด โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการผลิตอัจฉริยะ จะไม่เพียงตอบโจทย์การพัฒนาของทั้งสองฝ่าย แต่ยังช่วยปกป้องระบบการค้ามหภาคอีกด้วย
ขณะที่การลงทุน Greenfield ของจีนในยุโรปเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.9 พันล้านยูโร ขณะที่การควบรวมและซื้อกิจการเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าในปี 2567 อยู่ที่ 4.1 พันล้านยูโร
โดยมีบริษัท "Contemporary Amperex Technology" ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในปี 2567 โดยคิดเป็น 16% ของการลงทุนรวม ส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในฮังการี
ศาสตราจารย์ "Ting Chun" ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาอียู แห่งมหาวิทยาลัยฟู่ตั้นในเซี่ยงไฮ้ กล่าวว่า จีนและอียูมีจุดร่วมจำนวนมาก และมีศักยภาพความร่วมมืออย่างมหาศาลในด้านพลังงานสีเขียว การผลิตอัจฉริยะ และปัญญาประดิษฐ์ ดังนั้นจีนและยุโรปควรจับมือกันเพื่อปกป้องเสถียรภาพของระบบการค้ามหภาคและห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลก แทนที่จะปล่อยให้ข้อพิพาททางการค้าบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
ทั้งนี้เมื่อเดือนก่อน จีนและ อียู ได้เสนอแนวคิดยกเลิกภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน โดยอาจผ่านกลไก “price undertakings” หรือการกำหนดราคาขั้นต่ำสำหรับรถนำเข้า
รายงานยังระบุอีกด้วยว่า การลงทุนของจีนในยุโรปอาจเพิ่มขึ้นอีกในปี 2568 หากความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอียูดีขึ้นจากผลของสงครามการค้าใหม่ที่สหรัฐจุดขึ้น ขณะที่ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า ณ สิ้นปี 2567 บริษัทในอียูได้ลงทุนในจีนรวมแล้วมากกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ