รีเซต

หลายชาติเดินหน้าเปิดเศรษฐกิจ หลังพบโอมิครอนไม่ร้ายแรงเท่าเดลตา

หลายชาติเดินหน้าเปิดเศรษฐกิจ หลังพบโอมิครอนไม่ร้ายแรงเท่าเดลตา
TNN ช่อง16
5 มกราคม 2565 ( 11:06 )
78
หลายชาติเดินหน้าเปิดเศรษฐกิจ หลังพบโอมิครอนไม่ร้ายแรงเท่าเดลตา

อับดี มาฮามูด ผู้จัดการฝ่ายบริหารจัดการเหตุการณ์ไม่ปกติ ขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO แถลงว่า ปรากฏหลักฐานมากขึ้นที่แสดงให้เห็นว่า ไวรัสสายพันธุ์ “โอมิครอน” ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบน แต่มีอาการน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับไวรัสสายพันธุ์ก่อนหน้า ที่จะทำให้เกิดอาการปอดบวมอย่างรุนแรง นับว่าเป็นข่าวดี แต่เราก็ต้องการผลการศึกษามากกว่านี้ เพื่อพิสูจน์ความรุนแรงของโอมิครอน


ตั้งแต่โอมิครอน ถูกตรวจพบครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกพบว่า ไวรัสตัวนี้ระบาดอย่างรวดเร็ว และพบระบาดไปทั่วโลกอย่างน้อย 128 ประเทศแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงต่อเนื่อง หลายประเทศทำสถิติสูงสุด แต่อัตราผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิต กลับน้อยกว่าการระบาดของไวรัสสายพันธุ์อื่น


อย่างไรก็ตาม มาฮามูดเตือนด้วยว่า การระบาดอย่างรวดเร็วและติดเชื้อได้ง่าย จะทำให้โอมิครอนกลายเป็นไวรัสสายพันธุ์หลักในหลายประเทศภายในไม่กี่สัปดาห์นี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบในหลายประเทศที่ประชาชนไม่ได้ฉีดวัคซีนมีสัดส่วนสูง


---เดินหน้าเปิดประเทศ ไม่ล็อกดาวน์---


ส่วนที่อังกฤษแม้จะมีรายงานสถิติผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดที่ได้แรงหนุนจากโอมิครอน แต่ผู้นำประเทศระบุว่า สามารถรับมือกับยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่เพิ่มสูงขึ้นโดยไม่ต้องปิดเศรษฐกิจ


นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ระบุว่า ตอนนี้เราทราบแล้วว่าโควิดสายพันธุ์โอมิครอนนั้น มีอาการไม่รุนแรงเท่ากับสายพันธุ์ก่อนหน้า แม้จะมียอดผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่า 15,000 คนในอังกฤษ แต่ยอดผู้ป่วยที่ต้องรักษาตัวในไอซียูไม่ได้มากเหมือนการระบาดครั้งก่อน


จอห์นสัน ต่อต้านการใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดในอังกฤษ วางเดิมพันว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และความระมัดระวังในหมู่ประชาชน จะเพียงพอที่จะสกัดคลื่นโควิดล่าสุด ขณะที่ผู้ป่วยโรคโควิด-19 มากกว่า 60% ไม่ได้รับวัคซีน


---ต้องหาทางอยู่กับไวรัสนี้ให้ได้---


เขาระบุว่า แผนบี ที่นำมาใช้ในอังกฤษเมื่อเดือนที่แล้ว รวมถึงการสวมหน้ากากอนามัยในระบบขนส่งสาธารณะและในร้านค้าต่าง ๆ แต่ไม่จำกัดการชุมนุมหรือปิดธุรกิจนั้นเพียงพอที่จะรับมือกับคลื่นโอมิครอนได้โดยไม่ต้องปิดประเทศอีกครั้ง รวมถึงไม่ต้องปิดโรงเรียนและธุรกิจ เพราะสามารถหาทางอยู่ร่วมกันไวรัสตัวนี้ได้


อย่างไรก็ตาม จอห์นสันระบุว่า สัปดาห์ข้างหน้าจะเป็นความท้าทาย ต่อทั้งในสหราชอาณาจักรและทั่วโลก เนื่องจากบริการบางอย่างจะหยุดชะงัก เพราะขาดแคลนพนักงาน


นอกจากนี้จอห์นสัน ยังเตือนว่าโรงพยาบาลต่าง ๆ จะต้องเผชิญกับแรงกดดันอย่างมากในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า และในวันอังคาร (28 ธันวาคม) ได้ประกาศให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทุกวันสำหรับเจ้าหน้าที่วิกฤต 100,000 คน


สหราชอาณาจักรรายงานผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 218,724 รายในวันอังคาร (4 มกราคม) ซึ่งเป็นสถิติใหม่สำหรับจำนวนผู้ป่วยที่รายงานในวันเดียว แม้จะมีตัวเลขจากการรายงานที่ล่าช้าในช่วงวันหยุดรวมอยู่ด้วยก็ตาม


คริส วิตตี หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ กล่าวว่าอัตราการเสียชีวิตไม่ได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น


ด้าน ซาจิด จาวิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษระบุว่า ยังไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่ารัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มงวดกับมาตรการคุมโควิด-19 ในอังกฤษ แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะรู้ว่าโรงพยาบาลจะรับมืออย่างไร


พร้อมระบุว่า นี่เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับโรงพยาบาล เนื่องจากผู้ติดเชื้อโอมิครอนพุ่งสูงขึ้น รวมถึงในกลุ่มผู้สูงอายุ และโรงพยาบาลประมาณ 6 แห่งได้ประกาศเหตุการณ์วิกฤตเนื่องจากการขาดแคลนบุคลากรแล้ว


แต่ขณะนี้ไม่มีข้อมูลใดที่บ่งชี้ว่า เราจำเป็นต้องย้ายออกจากแผน B และยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องการรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ระบุว่า อัตราการติดเชื้อสูงมาก และน่าเศร้าที่เราเห็นการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุ


---หลายชาติเดินหน้าเปิดประเทศ---


นอกจากอังกฤษ ยังมีหลายชาติที่เดินหน้าเปิดประเทศและเศรษฐกิจตามแผนเดิม ท่ามกลางยอดผู้ติดเชื้อโควิดโอมิครอนที่เพิ่มขึ้น


ออสเตรเลียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่กำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโรคโควิด-19...ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อเพิ่มถึง 47,799 คน สูงสุดเป็นสถิติใหม่ ทำลายสถิติเดิมวันก่อนหน้า ที่พบผู้ติดเชื้อกว่า 37,000 คน


ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในออสเตรเลียพุ่งทำสถิติอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางปัญหาขาดแคลนชุดตรวจ ATK ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั้งประเทศพุ่งเกิน 500,000 คนไปแล้ว และเกือบครึ่งหนึ่งเป็นผู้ที่ติดเชื้อในรอบ 2


สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่รัฐบาลยืนยันจะเดินหน้าเปิดประเทศและเศรษฐกิจ หลังพบว่าการแพร่ระบาดของเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนส่งผลกระทบปานกลาง ทำให้สามารถเดินหน้าเปิดประเทศตามแผนที่วางไว้


ด้านนายกรัฐมนตรี สกอตต์ มอร์ริสันของออสเตรเลีย ให้สัมภาษณ์สื่อท้องถิ่นว่า ต้องหยุดสนใจยอดผู้ติดเชื้อ แต่สนใจยอดผู้ติดเชื้ออาการหนักแทน รวมทั้งใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเชื้อไวรัส ดูแลสุขภาพ หมั่นสังเกตอาการตนเอง และทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป


ส่วนอิสราเอลที่ปิดประเทศ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโอมิครอนก่อนใคร ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายนปีที่แล้ว ล่าสุดกระทรวงสาธารณสุขของอิสราเอล ประกาศเตรียมเปิดรับนักเดินทางต่างชาติจาก 199 ประเทศและดินแดน ที่อยู่ “กลุ่มสีส้ม” หรือ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงปานกลางจากโรคโควิด-19 แต่ประชากรส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 9 มกราคมนี้


อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ต้องการเดินทางไปยังอิสราเอลต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบถ้วน และการมีผลตรวจหาเชื้อเป็นลบภายในเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง


สำหรับผู้ที่เดินทางมาจากประเทศซึ่งยังอยู่ในกลุ่มสีแดง หรือ เสี่ยงสูง จะยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาในอิสราเอลได้

—————

แปล-เรียบเรียง: สันติ สร้างนอก และ สุภาพร เอ็ลเดรจ

ภาพ: Reuters

ข่าวที่เกี่ยวข้อง