รีเซต

ย้อนดูงบคนละครึ่งทุกเฟส ก่อนถึงคนละครึ่งพลัส 44,000 ล้านปี 2568

ย้อนดูงบคนละครึ่งทุกเฟส ก่อนถึงคนละครึ่งพลัส 44,000 ล้านปี 2568
TNN ช่อง16
2 ตุลาคม 2568 ( 09:57 )
13

ต.ค.นี้ รัฐบาลเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ด้วยงบประมาณรวม 44,000 ล้านบาท ถือเป็นการอัดฉีดครั้งใหญ่เพื่อดึงกำลังซื้อกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยในช่วงที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากราคาสินค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก บทความนี้จะชวนไล่เรียงว่าเงินก้อนนี้มาจากไหน แตกต่างจากเฟสก่อนหน้าอย่างไร และจะส่งผลต่อชีวิตประชาชนมากน้อยแค่ไหน

เงินก้อน 44,000 ล้านบาท มาจากไหน

รัฐบาลแบ่งงบออกเป็น 2 ส่วน

  • ส่วนแรก 25,000 ล้านบาท มาจากเงินเหลือของแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาทที่รัฐบาลก่อนหน้าเคยจัดไว้ในปีงบประมาณ 2568 เดิมทีเงินก้อนนี้ถูกเตรียมไว้สำหรับโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท” แต่เมื่อโครงการดังกล่าวไม่สามารถเดินหน้าได้ เงินจึงถูกโยกมาใช้กับมาตรการใหม่

  • ส่วนที่สอง 19,000 ล้านบาท มาจากงบกลางปีงบประมาณ 2569 ซึ่งถือเป็นเงินสำรองที่นายกรัฐมนตรีสามารถนำมาใช้กับสถานการณ์เร่งด่วน


เทียบกับ 5 เฟสก่อนหน้า

โครงการคนละครึ่งทำมาแล้ว 5 เฟส ระหว่างปี 2563 ถึง 2565 รวมใช้งบ 234,500 ล้านบาท แยกเป็นเฟส 1 จำนวน 30,000 ล้านบาท เฟส 2 จำนวน 22,500 ล้านบาท เฟส 3 จำนวน 126,000 ล้านบาท เฟส 4 จำนวน 34,800 ล้านบาท และเฟส 5 จำนวน 21,200 ล้านบาท ภาพรวมจะเห็นว่าช่วงปีวิกฤตโควิดมีการอัดฉีดต่อเนื่องหลายระลอก โดยเฟส 3 เป็นก้อนใหญ่ที่สุดคิดเป็น 126,000 ล้านบาท หรือราว 53.7% ของงบสะสมทั้งห้าเฟส

เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของงบสะสม 234,500 ล้านบาท เฟส 1 คิดเป็น 12.8% เฟส 2 คิดเป็น 9.6% เฟส 3 คิดเป็น 53.7% เฟส 4 คิดเป็น 14.8% และเฟส 5 คิดเป็น 9.0% จะเห็นว่าแรงอัดฉีดหลักในอดีตเกิดขึ้นที่เฟส 3 ขณะที่เฟส 5 ปิดท้ายด้วยงบที่เล็กที่สุดในชุดเดิมคือ 21,200 ล้านบาท

คนละครึ่งพลัสปี 2568 ตั้งงบ 44,000 ล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่าเฟส 5 อย่างชัดเจน เพิ่มขึ้นประมาณ 107.5% หรือมากกว่าเกือบเท่าตัว หากเทียบกับเฟส 4 ก็ยังสูงกว่า 26.4% และสูงกว่าเฟส 1 ราว 46.7% รวมถึงสูงกว่าเฟส 2 เกือบ 95.6% อย่างไรก็ดี หากเทียบกับเฟส 3 ที่เป็นก้อนใหญ่สุดเดิม งบปี 2568 มีขนาดราว 34.9% ของเฟส 3 หรือเล็กกว่าราว 65.1%

เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยงบต่อเฟสของอดีตที่ประมาณ 46,900 ล้านบาท งบปี 2568 ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยมาก โดยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราว 6.2% ความต่างสำคัญคือปี 2568 ออกแบบให้ครอบคลุมคนมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ตั้งเป้ากว่า 33,000,000 คน ซึ่งสูงกว่าระดับสูงสุดในอดีต ทำให้แม้งบต่อรอบจะไม่ใหญ่เท่าเฟส 3 แต่ความครอบคลุมและเพดานสิทธิต่อคนที่สูงขึ้นช่วยขยายฐานผู้ได้รับประโยชน์ในครั้งเดียวได้มากกว่าเดิม


โครงการปีงบประมาณ ล้านบาทสัดส่วนของงบสะสมห้าเฟส %เมื่อเทียบกับคนละครึ่งพลัส 2568 ล้านบาทเมื่อเทียบกับคนละครึ่งพลัส 2568 %
เฟส 1256330,00012.8มากกว่า 14,000 ของคนละครึ่งพลัสมากกว่า 46.7%
เฟส 22564 ต้นปี22,5009.6มากกว่า 21,500 ของคนละครึ่งพลัสมากกว่า 95.6%
เฟส 32564 กลางถึงปลายปี126,00053.7น้อยกว่า 82,000 ของคนละครึ่งพลัสต่ำกว่า 65.1%
เฟส 42565 ต้นปี34,80014.8มากกว่า 9,200 ของคนละครึ่งพลัสมากกว่า 26.4%
เฟส 52565 ปลายปี21,2009.0มากกว่า 22,800 ของคนละครึ่งพลัสมากกว่า 107.5%
คนละครึ่งพลัส256844,000ไม่เกี่ยวกับงบสะสมห้าเฟสเท่ากัน 0เท่ากัน
ค่าเฉลี่ยห้าเฟส2563 ถึง 256546,90020.0 ต่อเฟสโดยเฉลี่ยไม่ใช้น้อยกว่า 2,900 ของคนละครึ่งพลัสต่ำกว่า 6.2%

ใครได้สิทธิอะไรบ้าง

คนละครึ่งพลัสครอบคลุมประชาชนทั้งหมด 33 ล้านคน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม

  1. ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน ได้สิทธิ 2,000 บาทต่อคน โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่

  2. ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี 11 ล้านคน ได้สิทธิ 2,400 บาทต่อคน อัตรารัฐช่วยจ่าย 60% และประชาชนจ่าย 40%

  3. ผู้ที่อยู่นอกระบบภาษี 9 ล้านคน ได้สิทธิ 2,000 บาทต่อคน อัตรารัฐช่วยจ่าย 50% และประชาชนจ่าย 50%

วงเงินใช้ได้วันละ 200 บาท และกำหนดให้เริ่มลงทะเบียนวันที่ 20–26 ตุลาคม 2568 ก่อนเปิดใช้จริงตั้งแต่ 29 ตุลาคมไปจนถึงสิ้นปี

สิ่งที่แตกต่างจากเฟสก่อน

เฟสก่อนหน้ามีเพียงรูปแบบรัฐช่วยจ่าย 50% หรือที่เรียกกันว่า “50:50” แต่รอบนี้เพิ่มสิทธิพิเศษใหม่คือ “60:40” สำหรับผู้เสียภาษี เพื่อจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ขณะเดียวกันวงเงินต่อคนก็เพิ่มขึ้นชัดเจน จาก 800 บาทในเฟส 5 ขยับเป็น 2,000–2,400 บาท

ผู้มีสิทธิก็ขยายมากขึ้น จากเดิมสูงสุดราว 27 ล้านคนในเฟส 5 กลายเป็น 33 ล้านคน ถือเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมมากที่สุดตั้งแต่เคยมีโครงการ

นักวิเคราะห์คาดว่าเม็ดเงิน 44,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินที่ประชาชนสมทบ จะทำให้เกิดการใช้จ่ายจริงสูงกว่าตัวเลขงบประมาณโดยตรง อาจแตะระดับกว่า 70,000–80,000 ล้านบาทในระบบเศรษฐกิจไทยช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี

ตัวเลขนี้ถูกคาดว่าจะช่วยดัน GDP ไตรมาส 4 ปี 2568 ให้ขยายตัวเพิ่มอีก 0.2–0.4% ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจช่วงปลายปีเติบโตมากกว่า 1% ซึ่งถือเป็นแรงเสริมสำคัญในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังซบเซา

จุดที่ต้องจับตา คือ เงินก้อนใหญ่ลงไปถึงร้านค้ารายย่อยและผู้มีรายได้น้อยจริงหรือไม่?  รวมถึงการควบคุมการทุจริต เช่น การปั่นบิลหรือใช้สิทธิซ้ำซ้อน หากสามารถปิดจุดอ่อนเหล่านี้ได้ มาตรการจะช่วยสร้างผลคูณทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน แต่หากเกิดการรั่วไหลสูง ประสิทธิภาพก็อาจลดลง

อีกด้านหนึ่ง การนำงบกลางปี 2569 มาใช้ล่วงหน้า อาจทำให้รัฐบาลต้องวางแผนรองรับภารกิจเร่งด่วนอื่นในปีหน้าอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะหากเกิดวิกฤตใหม่ที่ต้องใช้งบฉุกเฉิน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง