ย้อนดูงบคนละครึ่งทุกเฟส ก่อนถึงคนละครึ่งพลัส 44,000 ล้านปี 2568

ต.ค.นี้ รัฐบาลเดินหน้าโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ด้วยงบประมาณรวม 44,000 ล้านบาท ถือเป็นการอัดฉีดครั้งใหญ่เพื่อดึงกำลังซื้อกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยในช่วงที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากราคาสินค้าและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก บทความนี้จะชวนไล่เรียงว่าเงินก้อนนี้มาจากไหน แตกต่างจากเฟสก่อนหน้าอย่างไร และจะส่งผลต่อชีวิตประชาชนมากน้อยแค่ไหน
เงินก้อน 44,000 ล้านบาท มาจากไหน
รัฐบาลแบ่งงบออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก 25,000 ล้านบาท มาจากเงินเหลือของแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาทที่รัฐบาลก่อนหน้าเคยจัดไว้ในปีงบประมาณ 2568 เดิมทีเงินก้อนนี้ถูกเตรียมไว้สำหรับโครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท” แต่เมื่อโครงการดังกล่าวไม่สามารถเดินหน้าได้ เงินจึงถูกโยกมาใช้กับมาตรการใหม่
ส่วนที่สอง 19,000 ล้านบาท มาจากงบกลางปีงบประมาณ 2569 ซึ่งถือเป็นเงินสำรองที่นายกรัฐมนตรีสามารถนำมาใช้กับสถานการณ์เร่งด่วน
เทียบกับ 5 เฟสก่อนหน้า
โครงการคนละครึ่งทำมาแล้ว 5 เฟส ระหว่างปี 2563 ถึง 2565 รวมใช้งบ 234,500 ล้านบาท แยกเป็นเฟส 1 จำนวน 30,000 ล้านบาท เฟส 2 จำนวน 22,500 ล้านบาท เฟส 3 จำนวน 126,000 ล้านบาท เฟส 4 จำนวน 34,800 ล้านบาท และเฟส 5 จำนวน 21,200 ล้านบาท ภาพรวมจะเห็นว่าช่วงปีวิกฤตโควิดมีการอัดฉีดต่อเนื่องหลายระลอก โดยเฟส 3 เป็นก้อนใหญ่ที่สุดคิดเป็น 126,000 ล้านบาท หรือราว 53.7% ของงบสะสมทั้งห้าเฟส
เมื่อเทียบเป็นสัดส่วนของงบสะสม 234,500 ล้านบาท เฟส 1 คิดเป็น 12.8% เฟส 2 คิดเป็น 9.6% เฟส 3 คิดเป็น 53.7% เฟส 4 คิดเป็น 14.8% และเฟส 5 คิดเป็น 9.0% จะเห็นว่าแรงอัดฉีดหลักในอดีตเกิดขึ้นที่เฟส 3 ขณะที่เฟส 5 ปิดท้ายด้วยงบที่เล็กที่สุดในชุดเดิมคือ 21,200 ล้านบาท
คนละครึ่งพลัสปี 2568 ตั้งงบ 44,000 ล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่าเฟส 5 อย่างชัดเจน เพิ่มขึ้นประมาณ 107.5% หรือมากกว่าเกือบเท่าตัว หากเทียบกับเฟส 4 ก็ยังสูงกว่า 26.4% และสูงกว่าเฟส 1 ราว 46.7% รวมถึงสูงกว่าเฟส 2 เกือบ 95.6% อย่างไรก็ดี หากเทียบกับเฟส 3 ที่เป็นก้อนใหญ่สุดเดิม งบปี 2568 มีขนาดราว 34.9% ของเฟส 3 หรือเล็กกว่าราว 65.1%
เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยงบต่อเฟสของอดีตที่ประมาณ 46,900 ล้านบาท งบปี 2568 ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยมาก โดยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยราว 6.2% ความต่างสำคัญคือปี 2568 ออกแบบให้ครอบคลุมคนมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ตั้งเป้ากว่า 33,000,000 คน ซึ่งสูงกว่าระดับสูงสุดในอดีต ทำให้แม้งบต่อรอบจะไม่ใหญ่เท่าเฟส 3 แต่ความครอบคลุมและเพดานสิทธิต่อคนที่สูงขึ้นช่วยขยายฐานผู้ได้รับประโยชน์ในครั้งเดียวได้มากกว่าเดิม
โครงการ | ปี | งบประมาณ ล้านบาท | สัดส่วนของงบสะสมห้าเฟส % | เมื่อเทียบกับคนละครึ่งพลัส 2568 ล้านบาท | เมื่อเทียบกับคนละครึ่งพลัส 2568 % |
---|---|---|---|---|---|
เฟส 1 | 2563 | 30,000 | 12.8 | มากกว่า 14,000 ของคนละครึ่งพลัส | มากกว่า 46.7% |
เฟส 2 | 2564 ต้นปี | 22,500 | 9.6 | มากกว่า 21,500 ของคนละครึ่งพลัส | มากกว่า 95.6% |
เฟส 3 | 2564 กลางถึงปลายปี | 126,000 | 53.7 | น้อยกว่า 82,000 ของคนละครึ่งพลัส | ต่ำกว่า 65.1% |
เฟส 4 | 2565 ต้นปี | 34,800 | 14.8 | มากกว่า 9,200 ของคนละครึ่งพลัส | มากกว่า 26.4% |
เฟส 5 | 2565 ปลายปี | 21,200 | 9.0 | มากกว่า 22,800 ของคนละครึ่งพลัส | มากกว่า 107.5% |
คนละครึ่งพลัส | 2568 | 44,000 | ไม่เกี่ยวกับงบสะสมห้าเฟส | เท่ากัน 0 | เท่ากัน |
ค่าเฉลี่ยห้าเฟส | 2563 ถึง 2565 | 46,900 | 20.0 ต่อเฟสโดยเฉลี่ยไม่ใช้ | น้อยกว่า 2,900 ของคนละครึ่งพลัส | ต่ำกว่า 6.2% |
ใครได้สิทธิอะไรบ้าง
คนละครึ่งพลัสครอบคลุมประชาชนทั้งหมด 33 ล้านคน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13 ล้านคน ได้สิทธิ 2,000 บาทต่อคน โดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่
ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี 11 ล้านคน ได้สิทธิ 2,400 บาทต่อคน อัตรารัฐช่วยจ่าย 60% และประชาชนจ่าย 40%
ผู้ที่อยู่นอกระบบภาษี 9 ล้านคน ได้สิทธิ 2,000 บาทต่อคน อัตรารัฐช่วยจ่าย 50% และประชาชนจ่าย 50%
วงเงินใช้ได้วันละ 200 บาท และกำหนดให้เริ่มลงทะเบียนวันที่ 20–26 ตุลาคม 2568 ก่อนเปิดใช้จริงตั้งแต่ 29 ตุลาคมไปจนถึงสิ้นปี
สิ่งที่แตกต่างจากเฟสก่อน
เฟสก่อนหน้ามีเพียงรูปแบบรัฐช่วยจ่าย 50% หรือที่เรียกกันว่า “50:50” แต่รอบนี้เพิ่มสิทธิพิเศษใหม่คือ “60:40” สำหรับผู้เสียภาษี เพื่อจูงใจให้คนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ขณะเดียวกันวงเงินต่อคนก็เพิ่มขึ้นชัดเจน จาก 800 บาทในเฟส 5 ขยับเป็น 2,000–2,400 บาท
ผู้มีสิทธิก็ขยายมากขึ้น จากเดิมสูงสุดราว 27 ล้านคนในเฟส 5 กลายเป็น 33 ล้านคน ถือเป็นจำนวนผู้เข้าร่วมมากที่สุดตั้งแต่เคยมีโครงการ
นักวิเคราะห์คาดว่าเม็ดเงิน 44,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับเงินที่ประชาชนสมทบ จะทำให้เกิดการใช้จ่ายจริงสูงกว่าตัวเลขงบประมาณโดยตรง อาจแตะระดับกว่า 70,000–80,000 ล้านบาทในระบบเศรษฐกิจไทยช่วงสองเดือนสุดท้ายของปี
ตัวเลขนี้ถูกคาดว่าจะช่วยดัน GDP ไตรมาส 4 ปี 2568 ให้ขยายตัวเพิ่มอีก 0.2–0.4% ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจช่วงปลายปีเติบโตมากกว่า 1% ซึ่งถือเป็นแรงเสริมสำคัญในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังซบเซา
จุดที่ต้องจับตา คือ เงินก้อนใหญ่ลงไปถึงร้านค้ารายย่อยและผู้มีรายได้น้อยจริงหรือไม่? รวมถึงการควบคุมการทุจริต เช่น การปั่นบิลหรือใช้สิทธิซ้ำซ้อน หากสามารถปิดจุดอ่อนเหล่านี้ได้ มาตรการจะช่วยสร้างผลคูณทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน แต่หากเกิดการรั่วไหลสูง ประสิทธิภาพก็อาจลดลง
อีกด้านหนึ่ง การนำงบกลางปี 2569 มาใช้ล่วงหน้า อาจทำให้รัฐบาลต้องวางแผนรองรับภารกิจเร่งด่วนอื่นในปีหน้าอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะหากเกิดวิกฤตใหม่ที่ต้องใช้งบฉุกเฉิน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
