[รีวิวเกม] ‘Mario vs. Donkey Kong’ รีเมกตำนานลิงยักษ์ปะทะลุงหนวด
ดูเหมือนว่าช่วงนี้ปู่นินนิยมเอาของเก่ามาขายใหม่ เพราะว่านอกจากง่ายแล้วหากทำออกมาดีมันจะได้รับความนิยมอย่างมากแถมไม่ต้องลงทุนอะไรมากนัก โดยก่อนหน้านี้มีการเปิดตัว ‘Super Mario RPG’ ฉบับรีเมกกราฟิกใหม่หมดซึ่งก็ประสบความสำเร็จและขายดี
ส่วนอีกเกมที่ตามมาติด ๆ คือ ‘Mario vs. Donkey Kong’ เกมแนวแอ็กชันพัซเซิล ที่ต้นฉบับออกบน Gameboy Advance ในปี 2004 ที่เป็นการหยิบเอา 2 ตัวละครในตำนานอย่างลุงหนวดและลิงยักษ์สมัยเกมตู้ยุค 80S มาเจอกันอีกครั้งในรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้น แม้อาจจะไม่ได้โด่งดังมากแต่ก็เป็นอีกเกมที่โดดเด่นเพราะมันอัปเกรดเกมเพลย์ที่ดูเชยให้ทันสมัยขึ้น ทำให้มีการเอามาสร้างใหม่อีกครั้งบน Nintendo Switch
เนื้อเรื่องในเกมก็เรียบง่ายมาก เพราะใน ‘Mario vs. Donkey Kong’ ลุงหนวดของเราได้เป็นเจ้าของบริษัทของเล่น และผลิต “Mini Mario” หุ่นไขลานสุดน่ารักออกวางขาย แต่แล้ว Donkey Kong ได้มาขโมยของเล่นไปจนหมดโรงงาน ทำให้ Mario ของเราต้องออกไปทวงคืน แน่นอนว่าเกมมีการลงทุนทำคัตซีนใหม่ทั้งหมดทำให้การเล่าเรื่องดูดีขึ้นมาก
กราฟิกปรับใหม่หมด
แน่นอนว่าในเมื่อเป็นการรีเมกกราฟิกเป็นหลักทำให้ภาพต้องยกระดับอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อต้นฉบับออกบน Gameboy Advance แล้วมันถือว่ายกระดับจนเหมือนเป็นคนละเกม เพราะมันมาพร้อมกราฟิกระดับ HD และสร้างฉากรวมทั้งตัวละครใหม่หมดแต่อ้างอิงจากฉากเดิม และอย่างที่บอกไปว่ามีการลงทุนทำคัตซีนใหม่ทำให้ทุกอย่างดูดีสมกับเป็นเกมคอนโซลยุคใหม่ไม่ดูเชยแน่
โดยเฉพาะตัวละครและรายละเอียดที่สมจริงมีความคล้ายกับ ‘Super Mario RPG’ ส่วนเพลงประกอบก็ยกเอาของเดิมมาปรับแต่งเสียงใหม่ให้สมกับการออกบนคอนโซลรุ่นใหม่ แม้อาจจะไม่ได้มีธีมที่โดดเด่นเท่ากับซีรีส์ Mario แต่ถือว่าทำออกมาได้ตามมาตรฐานเกมของ Nintendo และถือว่ามีการลงทุนทำเพลงใหม่ด้วย
เกมเพลย์แอ็กชันพัซเซิลสนุกเข้าใจง่าย
รูปแบบการเล่นของ ‘Mario vs. Donkey Kong’ นำเสนอแบบ 2 มิติแนวแอ็กชันผสมผสานกับพัซเซิลที่เรียบง่าย เพราะเราจะรับบทลุงหนวดออกไปค้นหา Mini Mario ที่ซ่อนอยู่ในฉากผ่านอุปสรรคกับดักที่สร้างออกมาออกมาแนวแก้ปริศนา โดยแต่ละด่านจะไม่ยาวนัก ส่วนการไปถึง Mini Mario ก็ต้องค่อย ๆ หากุญแจเพื่อเปิดประตู
ส่วนตัวละคร Mario ของเราจะไม่ได้มีความสามารถเหมือนกับภาคหลัก เพราะเกมอ้างอิงจากซีรีส์ ‘Donkey Kong’ มากกว่าทำให้ไม่มีเห็ดหรือดอกไม้ไฟ แต่จะมีค้อนไว้ทุบศัตรูที่ใช้ได้ชั่วคราว แต่ลุงหนวดก็ไม่ได้ไร้ความสามารถสักทีเดียว เพราะยังมาพร้อมกับการกระโดดหลายจังหวะเพื่อไปยังที่สูงได้ การปีนเชือกหรือโหนบาร์ และยังจับศัตรูหรือสิ่งของแล้วปาออกไปแทนการโจมตีได้
ฉากหลากหลาย มีโหมดง่ายให้เลือก
อีกจุดเด่นคือฉากในเกมที่ใส่เข้ามาหลากหลายไม่ได้มีแค่ปีนตึกเหมือนต้นฉบับ เพราะมีทั้งป่าที่ดูลึกลับ หรือดินแดนน้ำแข็งที่หนาวเย็น และแต่ละด่านจะมีอุปสรรคที่แตกต่างกัน เพราะมีปริศนาที่ทำให้เราผ่านไปได้ยากลำบาก และบางครั้งผู้เล่นต้องหาทางใช้ประโยชน์จากอุปสรรคในฉากด้วย เช่นด่านน้ำแข็งที่พื้นจะลื่นอย่างมาก แต่ผู้เล่นจะสามารถใช้ความลื่นเพื่อผ่านฉากได้เช่นการโยนกุญแจเพื่อให้มันลื่นไหลไปยังจุดที่เราไปไม่ได้
ความโดดเด่นของ ‘Mario vs. Donkey Kong’ คือด่านออกแบบมาดีแม้ว่าจะเป็นเกมที่ออกมา 20 ปีแล้ว เพราะมันมีความหลากหลายโดยมีด่านที่เราต้องหา Mini Mario แบบปรกติที่เมื่อเราหาได้ครบแล้วจะมีฉากที่เราต้องพาหุ่นลุงหนวดไปยังกล่องใส่ของเล่น ซึ่งด่านนี้มีความท้าทายอย่างมากเพราะเราจะไม่สามารถบังคับ Mini Mario ได้โดยตรง มันจะเดินตามผู้เล่นทำให้ต้องระวังอย่างมากเพราะมันอาจจะโดนโจมตีหรือกับดักทำลายได้
และเมื่อผ่านทุกฉากและเก็บรวบรวม Mini Mario จนครบ จะพบกับด่านบอสที่เราจะได้ต่อสู้กับ Donkey Kong ซึ่งโดยรวมมีความยากพอประมาณแต่ไม่ถึงกับโหดร้าย แต่หากคุณคิดว่ามันยากไปยังมีโหมดง่ายใส่เข้ามาให้เล่น ที่เมื่อเราเลือกจะสามารถพลาดตายได้มากขึ้นและมีเวลาเล่นไม่จำกัด เพราะเมื่อตายจะกลายเป็นฟองสบู่แล้วลอยไปที่จุด Save ถือว่าช่วยให้มือใหม่เล่นได้สนุกขึ้น
การกลับมาของ ‘Mario vs. Donkey Kong’ ฉบับรีเมกถือว่าทำออกมาได้ดีพอตัว ในส่วนของกราฟิกที่มีการปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด และยังมาพร้อมกับเกมเพลย์ที่ยังคงความคลาสสิกเหมือนเดิม แม้ว่าเกมเพลย์บางส่วนอาจจะดูเชยและเรียบ ๆ ไปหน่อยก็ตาม แต่หากคุณเป็นแฟนลุงหนวดกับลิงยักษ์แล้ว ถือว่ามันยังคงมีความสนุกอยู่ ถือว่าเป็นอีกเกมที่เหมาะมากที่เอาไว้เล่นฆ่าเวลาได้เพลิน ๆ