เจาะร่างกฎหมายแรงงานใหม่ สิทธิลาเพราะปวดประจำเดือน จะเปลี่ยนที่ทำงานไทยอย่างไร?

ร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงานใหม่ ชูสิทธิลาเพราะปวดประจำเดือน เชื่อมสวัสดิการกับศักดิ์ศรีแรงงาน
วันที่ 24 กันยายน 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเอกฉันท์รับหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานจำนวน 2 ฉบับที่พรรคประชาชนเป็นผู้เสนอ ประเด็นที่ถูกจับตาอยู่ที่สิทธิลาเพราะปวดประจำเดือนซึ่งกำหนดเป็นสิทธิแยกจากลาป่วย พร้อมการปรับเวลาทำงาน วันหยุด และกรอบการไม่เลือกปฏิบัติในที่ทำงาน เป้าหมายคือยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานมากกว่า 39.39 ล้านคนให้สอดคล้องกับมาตรฐานร่วมสมัยและภาวะสุขภาพของแรงงานหญิงจริงๆ
ผู้เสนอหลักในสภาคือ จรัส คุ้มไข่น้ำ และ วรรณวิภา ไม้สน ซึ่งมีภูมิหลังทำงานด้านแรงงานและสหภาพนานหลายสิบปี รายละเอียดของร่างแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกปรับโครงสร้างเวลาทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพิ่มวันหยุดประจำสัปดาห์เป็น 2 วัน และเพิ่มวันลาพักผ่อนประจำปีตามอายุงาน พร้อมข้อกำหนดงานเสี่ยงอันตรายให้ทำงานไม่เกิน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ส่วนที่สองวางหลักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในสถานประกอบการ โดยห้ามเลือกปฏิบัติครอบคลุมถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา อายุ ความพิการ ความเชื่อทางศาสนา และความคิดเห็นทางการเมือง รวมทั้งมาตรการสนับสนุนการเป็นพ่อแม่ยุคใหม่ เช่น พื้นที่ปั๊มนมและเวลาพักให้นมบุตรในเวลางาน
หัวใจของการถกเถียงสาธารณะคือสิทธิลาเพราะปวดประจำเดือน เดือนละไม่เกิน 3 วัน โดยไม่นับรวมเป็นวันลาป่วย ผู้ผลักดันให้เหตุผลว่าอาการปวดประจำเดือนรุนแรงสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการทำงานและการขาดงาน การแยกสิทธินี้ช่วยให้ลูกจ้างหญิงไม่ถูกบันทึกสถิติการเจ็บป่วยเกินจริง และลดแรงกดดันเชิงสังคมในที่ทำงาน ทั้งยังสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่าในการแจ้งหัวหน้างานว่า วันนี้จำเป็นต้องพัก ด้วยเหตุผลสุขภาพเฉพาะทางของผู้หญิง ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ควรได้รับการยอมรับในที่ทำงานยุคใหม่
กรอบสากลถูกหยิบยกมาเทียบเคียงเพื่อชี้ทิศทาง ญี่ปุ่นมีสิทธิเมนส์ลาตั้งแต่ปี 1947 เกาหลีใต้อนุญาตให้ลาเดือนละ 1 วัน อินโดนีเซียเปิดให้ลา 2 วันแรกของรอบเดือน เวียดนามและไต้หวันมีมาตรการคล้ายกัน ประสบการณ์เหล่านี้ชี้คำถามสำคัญ 2 ประการ
1. การเข้าถึงสิทธิในทางปฏิบัติมักต่ำกว่าที่คาด จึงต้องออกแบบขั้นตอนที่รักษาความเป็นส่วนตัวของลูกจ้าง
2. การป้องกันการตีตราในที่ทำงาน โดยหลายประเทศเลือกใช้คำกลาง เช่น “ลาเพื่อสุขภาวะสตรี” ควบคู่คู่มืออบรมหัวหน้างานเรื่องความอ่อนไหวทางเพศภาวะ เพื่อให้การขอใช้สิทธิเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องต้องอธิบายซ้ำๆ
ฝ่ายสนับสนุนในไทยมองว่าสิทธินี้ลดความเหลื่อมทางสุขภาพของแรงงานหญิง และช่วยให้ผู้หญิงไม่ต้องแลกระหว่างค่าจ้างกับความสบายทางกาย เมื่อเชื่อมกับสิทธิอื่น เช่น เวลาพักให้นมบุตรและพื้นที่ปั๊มนม จะเกิดภาพรวมสถานประกอบการที่เข้าใจวงจรชีวิตแรงงานมากขึ้น ฝ่ายตั้งข้อกังวลชี้เรื่องต้นทุน โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีและกิจการที่ต้องเดินเครื่อง 24 ชั่วโมง เกรงว่าจะต้องจ้างเสริมและจัดตารางเวรซับซ้อนกว่าเดิม อีกทั้งกังวลอคติในการรับคนเข้าทำงานหากผู้ประกอบการมองว่าสิทธิใหม่นี้เพิ่มภาระ
คำตอบเชิงนโยบายที่ถูกพูดถึงวางอยู่บนรายละเอียดการบังคับใช้ที่ลดแรงเสียดทานกับธุรกิจ ข้อเสนอสำคัญมี 4 เรื่อง หนึ่ง ระบบขอลาที่รักษาความเป็นส่วนตัว เช่น ใช้การอนุมัติที่เปิดเผยข้อมูลเท่าที่จำเป็น สอง กลไกกำกับการไม่เลือกปฏิบัติทั้งในขั้นรับเข้าทำงานและการเลื่อนตำแหน่ง สาม แรงจูงใจภาษีและคำแนะนำการจัดตารางสำหรับเอสเอ็มอีในช่วงเปลี่ยนผ่าน สี่ คูมือปฏิบัติงานที่ยืดหยุ่น เช่น การสลับงานเบาในช่วงมีอาการ หรือการแลกเวรโดยสมัครใจ พร้อมฐานข้อมูลติดตามผลระดับชาติภายใน 6 เดือนและ 12 เดือน เพื่อตรวจวัดอัตราการใช้สิทธิ ผลต่อผลิตภาพ และผลต่อรายได้ธุรกิจ
ภาพกว้างของร่างทั้ง 2 ฉบับยังโยงกับสมดุลชีวิตการทำงานในระยะยาว การลดชั่วโมงทำงานจาก 48 เป็น 40 ชั่วโมง และการเพิ่มวันหยุดประจำสัปดาห์เป็น 2 วัน จะเปลี่ยนวิธีจัดกำลังคนในหลายอุตสาหกรรม นักเศรษฐศาสตร์แรงงานเสนอว่า หากคู่อยู่กับการยกระดับทักษะและปรับกระบวนงานให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบต่อผลิตภาพสามารถดูดซับได้ ขณะที่การเพิ่มวันลาพักผ่อนประจำปีจาก 6 เป็น 10 วันสำหรับผู้ทำงานครบ 120 วัน ช่วยฟื้นฟูสุขภาพและลดความเสี่ยงโรคจากการทำงานเรื้อรังในระยะยาว
หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่างกฎหมายคุ้มครองแรงงานแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณารายละเอียดถ้อยคำและกำหนดกรอบสิทธิให้ชัดเจน รวมถึงวางแนวทางบรรเทาผลกระทบสำหรับภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกิจการขนาดเล็กและกลางที่อาจได้รับแรงกดดันมากที่สุด ข้อมูลจากการเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์สภาระบุว่ามีผู้เข้ามาอ่านและแสดงความเห็นประมาณ 30,000 ครั้ง ผลปรากฏว่ามีผู้สนับสนุนสูงถึงร้อยละ 97
นางสาววรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวระหว่างการอภิปรายว่า “กฎหมายคุ้มครองแรงงานที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2541 มีหลายข้อที่ไม่ตอบโจทย์สถานการณ์ปัจจุบัน และยังไม่ก้าวทันมาตรฐานของประเทศอื่นๆ” เธอย้ำว่าร่างกฎหมายฉบับใหม่ที่ชื่อว่า “ยกระดับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” ไม่ได้เป็นเพียงการแก้ถ้อยคำ แต่เป็นความพยายามสร้างกลไกที่เหมาะสมกับโลกการทำงานยุคใหม่ โดยเฉพาะประเด็นสิทธิของแรงงานหญิงและการไม่เลือกปฏิบัติ
เมื่อร่างกฎหมายเดินสู่รายละเอียด สิทธิลาเพราะปวดประจำเดือน คือบททดสอบความพร้อมของตลาดแรงงานไทยในการยอมรับสุขภาพสตรีเป็นวาระเศรษฐกิจและสิทธิมนุษยชน ผู้กำหนดนโยบายต้องทำให้ชัดว่า สิทธินี้คุ้มครองความเป็นส่วนตัวของลูกจ้างหญิง และไม่ทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนอย่างไร้เครื่องมือสนับสนุน หากวันแรกที่ประกาศใช้ หัวหน้างานบอกกับทีมว่า “สิทธิของคุณได้รับการเคารพ” พร้อมระบบจัดตารางที่ทำให้งานไม่สะดุด นั่นจะเป็นจุดเริ่มของที่ทำงานยุคใหม่ที่เข้าอกเข้าใจมากขึ้น และทำให้ประโยคง่ายๆ ว่า “วันนี้ขอพัก เพราะปวดจริง” กลายเป็นเรื่องปกติที่พูดได้ในออฟฟิศไทยทุกแห่ง (นี่คือสาระสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้)
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
