รีเซต

เปิด 5 สาเหตุดันราคาทองคำพุ่ง ทุบนิวไฮรอบใหม่ เสี่ยงเกิดฟองสบู่หรือไม่?

เปิด 5 สาเหตุดันราคาทองคำพุ่ง ทุบนิวไฮรอบใหม่  เสี่ยงเกิดฟองสบู่หรือไม่?
TNN ช่อง16
18 ตุลาคม 2568 ( 12:58 )
16

ราคาทองคำพุ่งกระฉูด ! ฉุดไม่อยู่  ล่าสุด All time high ใหม่ โดยราคา Gold Spot แตะระดับสูงสุดที่ 4,379 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่ง 96.5% อยู่ที่  67,400 บาท ทองรูปพรรณทะลุ 68,200 บาท แรงหนุนจากตลาดการเงินสหรัฐฯ เผชิญแรงสั่นสะเทือนรอบใหม่  หลังจากหุ้นธนาคารภูมิภาคร่วงลงอย่างหนัก จากความกังวลปัญหาหนี้เสียและการฉ้อโกงสินเชื่อ โดยธนาคารไซออนส์ บันคอร์ปอเรชัน ตัดบัญชีหนี้สูญกว่า 50 ล้านดอลลาร์ของเงินกู้ที่ปล่อยโดยแคลิฟอร์เนีย แบงก์ แอนด์ ทรัสต์ ซึ่งเป็นธนาคารในเครือ ที่ตั้งอยู่ในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย    

ขณะที่ธนาคารเวสต์เทิร์น อัลลิอันซ์ บันคอร์ป เจอลูกหนี้ปลอมเอกสารกู้เงิน จึงได้ยื่นฟ้องร้องบริษัทแคนเทอร์ กรุ๊ปคดีฉ้อโกง ส่วนเจฟเฟอรีส์ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ได้ปล่อยเงินกู้ให้กับเฟิร์สต์ แบรนด์ส ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ หลังจากนั้นประสบปัญหาภาวะล้มละลาย   

ด้านธนาคารเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค และธนาคารฟิฟธ์เติร์ด บันคอร์ป ขาดทุนรวมกันหลายร้อยล้านดอลลาร์ที่ปล่อยกู้ให้กับไตรคัลเลอร์  ทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อรถยนต์    โดยเจพีมอร์แกนได้ตัดหนี้สูญมูลค่า 170 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3  จากการล้มละลายของไตรคัลเลอร์ ซึ่งการล้มละลายของเฟิร์สต์ แบรนด์ส และไตรคัลเลอร์ ได้ทำให้ตลาดการเงินหันมาจับตาวิกฤติธนาคารภูมิภาคของสหรัฐฯ อีกครั้ง โดยต่างกังวลเกี่ยวกับการควบคุมความเสี่ยงของธนาคารและตลาดสินเชื่อที่ไม่โปร่งใส อาจนำไปสู่วิกฤติทางการเงินอีกระลอกหรือไม่

จากที่ก่อนหน้านี้ในปี 66 ตลาดหุ้นสหรัฐฯร่วงหนักจากข่าวล้มละลายของธนาคารระดับภูมิภาคอย่างซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ และซิกเนเจอร์ แบงก์ เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่เป็นสตาร์ตอัปในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้แห่ถอนเงินออกจากธนาคาร ท่ามกลางความไม่เชื่อมั่นด้านสภาพคล่องของธนาคาร

สำหรับทิศทางทองคำในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร ท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่กระหน่ำเข้ามาต่อเนื่องหนุนราคาทุบสถิติใหม่ไม่หยุด ปัจจัยบวก-ลบที่ต้องติดตามมีอะไรบ้าง นักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูกันค่ะ

เริ่มจาก "วรุต รุ่งขํา" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จํากัด ฉายภาพให้ฟังว่า  ราคาทองคำดีดปรับตัวขึ้นร้อนแรงจาก 5 ปัจจัยหลักคือ 1. ความวิตกกังวลในภาคธนาคารภูมิภาคของสหรัฐ หลังราคาหุ้นธนาคารร่วงหนักกว่า 10%  เกิดความเสี่ยงความเสี่ยงด้านเครดิตหรือสินเชื่อ ซึ่งเป็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ใต้พรม และบางบริษัทที่ปล่อยสินเชื่อเกิดปัญหาล้มละลายไม่สามารถชำระหนี้ได้กระทบเป็นลูกโซ่ ส่งผลต่อภาคธนาคารทำให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากตลาดมีความกังวลว่าจะเกิดวิกฤติภาคธนาคารในอนาคตหรือไม่  

2.สถานการณ์ government shutdown ในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ ข้าราชการยังไม่ได้รับเงินเดือน   คาดว่าจะยาวไปถึงเดือนพ.ย.นี้ เพราะพรรคเดโมแครต และรีพับลิกันยังไม่สามารถตกลงกันได้ แม้มีการหารือกับมาแล้ว 10 ครั้ง ซึ่งต้องระวังความผันผวน แต่ถ้าสถานการณ์คลี่คลายลงราคาทองจะพักฐาน  เนื่องจากที่ผ่านมาแค่กระแสข่าวหารือกันราคาทองก็ปรับตัวลง 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์แล้ว

3. ความตึงเครียดในรัสเซียและยูเครนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา  ซึ่งทั้ง 2 ประเทศจะใช้อาวุธทำลายล้างสูงออกมาต่อสู้กันหนุนราคาทองคำปรับตัวขึ้น  แต่ล่าสุดมีข่าวว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะหารือกับ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ประธานาธิบดี รัสเซีย ที่กรุงบูดาเปสต์ของฮังการี  เกี่ยวกับสงครามในยูเครน ซึ่งต้องติดตามพัฒนาการหารือในครั้งนี้ว่า บรรลุข้อตกลงกันหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้ข้อสรุปทองจะไปต่อ แต่ถ้าผลเจรจาตกลงกันได้ทองคำจะปรับตัวลง จากที่ก่อนหน้าที่มีข่าวจะหันหน้าเจรจากันทำให้ทองคำถูกเทขายออกมาทันที แต่หลังผลการเจรจาล้มเหลวราคาก็ดีดกลับ

4. การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คาดเฟดจะลดดอกเบี้ยลงปลายปีนี้ 2 ครั้ง  เพราะตลาดแรงงานอ่อนแอ   โดยตลาดเฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุม 28-29 ต.ค. นี้  และในเดือนธ.ค. ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และผลตอบแทนพันธบัตรลดลง

5.สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนส่อแววปะทุ หลังจากจีนประกาศเพิ่มข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยให้เหตุผลว่า ในบางกรณี มีการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องจากจีนไปยังต่างชาติ เพื่อใช้ในทางทหารและภาคส่วนอื่นที่มีความอ่อนไหว ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติและผลประโยชน์ของจีน 

ขณะที่สหรัฐฯ ตอบโต้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 100%  ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. รวมทั้งขู่ยกเลิกการประชุมสุดยอดกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่มีกำหนดจัดขึ้นนอกรอบการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (APEC) ที่เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ ในวันที่ 31 ต.ค.-1 พ.ย.นี้ 


โดยปัจจัยดังกล่าวแม้ว่าจะหนุนให้ราคาทองคำยังขึ้นต่อเนื่อง แต่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดหากสถานการณ์ต่าง ๆ คลี่คลายลงก็จะทำให้ราคาทองคำปรับตัวลงแรง ถ้าราคาปรับตัวลง 150 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ต้องระวังการปรับฐาน แต่ถ้าลงประมาณ 100-120 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ถือว่าปกติ เพราะที่ผ่านมาเคยเกิดขึ้นลงมา 100 กว่าดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์จากนั้นไม่นานก็ดีดกลับขึ้นมาเหมือนเดิม


ส่วนกรณีที่ราคาทองขึ้นร้อนแรงจนเกิดความกังวลว่าจะเป็นฟองสบู่ทองคำ  (Gold Bubble) ว่า ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมาจากปัจจัยพื้นฐานไม่ใช่เป็นการปั่นราคาเก็งกำไรเกินความเป็นจริง เนื่องจากราคาที่ปรับขึ้นมาแรงส่งจากปัจจัยภายนอก ทั้งเรื่องสงครามทางการค้าสหรัฐ-จีน ธนาคารภูมิภาคสหรัฐมีปัญหาหนี้เสียจากการปล่อยสินเชื่อ การคาดการณ์ลดดอกเบี้ยของเฟด  สงครามรัสเซีย-ยูเครน และสถานการณ์ government shutdown ในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ 

ด้านปัจจัยบวกต่อทองคำนั้น ยังเป็นเรื่องความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐเข้าสู่ภาวะขาลง ความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐฯ และธนาคารกลางทั่วโลกยังซื้อทองคำเป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ธนาคารแบงค์ ออฟ อเมริกา หรือ BofA ซึ่งเป็นธนาคารที่มีขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ปรับขึ้น ราคาทองคำคาดการณ์ในปี  69  ขึ้นมาอยู่ที่ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  ทำให้ราคาทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 4,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากเดิมที่ 3,350 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือปรับขึ้นอีก 1,050 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ +31%

ขณะที่ธนาคาร ANZ คาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 4,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 68 และอาจพุ่งแตะจุดสูงสุด 4,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในเดือนมิ.ย. ปี 69 ก่อนมีแนวโน้มปรับตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี

ส่วนธนาคาร HSBC ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำเฉลี่ยปีนี้ขึ้นอีก 100 ดอลลาร์ เป็น 3,455 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และประเมินว่าราคาทองคำอาจแตะระดับ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปี 2569

ปัจจัยที่ต้องติดตามสัปดาห์หน้า

  • government shutdown ในสหรัฐฯ  
  • การพบปะกันระหว่าง “ทรัมป์” และ “สี จิ้นผิง”  แบบตัวต่อตัวครั้งแรกในรอบ 6 ปี ภายในเดือนต.ค. นี้ที่เกาหลีใต้ ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค)  
  • การประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่ 
  • ตัวเลขจีดีพีของจีนไตรมาส 3/68 ยอดค้าปลีก ตัวเลขการผลิต  

ด้านกลยุทธ์การลงทุนประเมินแนวรับแรกที่ 4,326   ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  ทองแท่งอยู่ที่ 66,700 บาท แนวรับถัดไปที่ 4,274 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  ทองแท่งอยู่ที่ 66,100 บาท คิดอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  ซึ่งถ้าไม่หลุด low ยังเข้าซื้อได้อยู่ แต่ถ้าหลุด low ให้รอดูสถานการณ์ก่อน   

โดยราคา Gold Spot  ขึ้นไปสูงสุดเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ระดับ 4,380  ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หากไม่ผ่านแบ่งขายลดความเสี่ยง ถ้าผ่านลุ้นไปต่อที่ 4,400 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์   ทองแท่งอยู่ที่ 68,000 บาท แนวต้านถัดไปที่ 4,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 69,600 บาท แนวต้านต่อมาที่ 4,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งอยู่ที่ 70,400 บาท  อย่างไรก็ตาม ราคาทองแท่งจะทะลุ 70,000 บาทหรือไม่ ขึ้นกับค่าเงินบาทถ้าอ่อนค่าก็มีโอกาสเป็นไปได้   

สอดรับกับ "อารีรัตน์ มุราชัย" หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD  เล่าว่า ในต้นเดือนต.ค.-ปัจจุบันตั้งแต่มีข่าวเรื่องสหรัฐฯ ชัตดาวน์และขู่ปรับลดพนักงานข้าราชการ ขณะที่สหรัฐฯ เลื่อนประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ กำลังสร้างแรงสะเทือนทั่วโลก ในช่วงที่นโยบายการเงินต่างต้องอิงข้อมูลจากอเมริกา 

ตลอดจนสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่เริ่มตึงเครียด  หลังจากจีนประกาศแผนห้ามส่งออกแร่ธาตุหายากเพื่อการใช้งานทางทหาร และจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการถลุงและการแปรรูป   พร้อมทั้งเรียกเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือสำหรับเรือที่สหรัฐฯ เป็นเจ้าของ ดำเนินการ สร้าง หรือติดธงตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่สหรัฐฯ ตอบโต้จีนด้วยการสั่งขึ้นบัญชีดำบริษัทจีน และเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือ จากเรือสินค้าจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ธนาคารภูมิภาคสหรัฐมีปัญหาเรื่องหนี้เสีย ขณะที่ กองทุนทองคำ SPDR Gold  เข้าซื้อ 12.02 ตันเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เกิดภาวะ FOMO (Fear Of Missing Out) หรือความกลัวที่จะพลาดโอกาสเกิดขึ้นในตลาดทองคำ ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนจำนวนมากเข้ามาซื้อทองคำอย่างคึกคัก เนื่องจากกลัวว่าราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นไปอีกและตนเองจะพลาดโอกาสในการทำกำไร  ทำให้มีแรงซื้อหลั่งไหลเข้ามาในทองคำจากนักลงทุนทุกกลุ่ม ทั้งนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนรายใหญ่ นักลงทุนสถาบัน กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และธนาคารกลาง  ส่งผลให้ ราคาทอง Gold Spot ปรับขึ้น 550 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งปรับขึ้น 4,380 บาท ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

ดังนั้นในสัปดาห์จะต้องติดตามข่าวสารต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ทั้งเรื่องการประกาศงบแบงก์ของสหรัฐฯ ว่า จะมีปัญหาเรื่องการปล่อยสินเชื่อและหนี้เสียหรือไม่  สถานการณ์ government shutdown ในสหรัฐฯ การเจรจาระหว่าง “ทรัมป์” และ “ปูติน”  รวมถึง “ทรัมป์” กับ “สีจิ้นผิง” ถ้าสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายเป็นไปด้วยดีราคาทองจะร่วง อาจลงแรงถึง 300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ก็เป็นไปได้ เพราะปัจจุบันบางวันขึ้นและลง 80-100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์


ซึ่งตามปกติแล้วเมื่อราคาขึ้นแรงก็มีแรงขายทำกำไรออกมา ควรเก็งกำไรระยะสั้นอย่าไล่ราคาซื้ออาจขาดทุนได้ โดยเชื่อว่าราคาที่ย่อตัวลง เพื่อไปต่อ เพราะวัฎจักรของทองจะขึ้นแรงใน 2-3 ปี ซึ่งปีหน้ายังไปได้ต่อ และยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด แรงหนุนจากเฟดยังเดินหน้าลดดอกเบี้ย สถานการณ์ government shutdown ในสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ และในเดือนพ.ย.ศาลฎีกาสหรัฐฯ จะเปิดการไต่สวน  เพื่อตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ในวงกว้างที่ “ทรัมป์” เรียกเก็บจากทั่วโลก 

อย่างไรก็ตาม  ถ้าราคาย่อตัวประเมินแนวรับแรกที่ 4,250 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และแนวรับถัดไปที่ 4,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  หากไม่อยู่จะไปที่ 4,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์  แต่เชื่อว่ายังไม่หลุด 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ทองแท่งจะอยู่ที่ประมาณ 65,300-65,800 บาท   ซึ่งนักลงทุนจะต้องมีจุด stop loss  โดยราคาทองไทยขึ้นมาแรงในช่วงต้นปี 67 ราคาอยู่ที่ 32,000 บาท และต้นปี 68 ช่วงม.ค.-เม.ย. ราคาขึ้นมาอยู่ที่ 42,000-55,000 บาท หลังจากนั้นพักฐาน 3- 4 เดือน ช่วงพ.ค.-ส.ค. และต่อมาก็ปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันทองแท่งสูงสุด 67,400 บาท 

แม้ว่าที่ผ่านมาราคาทองคำถีบตัวขึ้นแรงทำให้นักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไรได้รับผลตอบแทนกันไม่มากก็น้อย แต่ที่ต้องระวังคือการปรับฐานของราคาทองคำ หลังตลาดขึ้นมาแรงทำให้มีแรงขายทำกำไร ล่าสุด ราคาทองคำตลาดโลกร่วงหนัก เนื่องจากได้รับแรงกดดัน จากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หลังจาก “ทรัมป์ “ ได้ส่งสัญญาณผ่อนคลายภาษีจีน และเตรียมพบปะ “สี จิ้นผิง” ในช่วงระหว่างการประชุมเอเปกที่เกาหลีใต้สิ้นเดือนนี้ตามแผนเดิม  ดังนั้นนักลงทุนจะต้องติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง