คลื่นความร้อนแรงขึ้นทุกปี สุขภาพคน สัตว์ สิ่งแวดล้อม กำลังเสี่ยง “พังพินาศ”

คลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กำลังกลายเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อผู้คนทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อยู่นอกเขตร้อน เช่น สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร นักวิจัยระบุว่า คลื่นความร้อนในปัจจุบันนี้มีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 7 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับสภาพอากาศก่อนหน้าที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน
ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้คลื่นความร้อนไม่เพียงแต่เกิดบ่อยครั้งขึ้น แต่ยังรุนแรงและยาวนานมากขึ้น อีกทั้งยังเกิดขึ้นทั้งในช่วงต้นและปลายฤดูร้อน โดยหลายพื้นที่ยังมีความชื้นสูง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนมากขึ้น
คลื่นความร้อนที่กำลังส่งผลกระทบต่อประชากรกว่า 150 ล้านคนทั่วสหรัฐฯ ตั้งแต่รัฐวิสคอนซินจนถึงวอชิงตัน ดีซี มีลักษณะชัดเจนที่เชื่อมโยงกับภาวะโลกร้อนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ หลายพื้นที่ในแถบชายฝั่งตะวันออกมีแนวโน้มจะทำลายสถิติอุณหภูมิสูงสุดในเดือนมิถุนายนที่เคยบันทึกไว้เมื่อกว่า 100 ปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังมีการทำลายสถิติอุณหภูมิในช่วงกลางคืน ซึ่งเป็นผลมาจากปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมืองที่ทำให้อุณหภูมิไม่ลดลงมากในตอนกลางคืน ส่งผลให้ความร้อนสะสมยิ่งทำอันตรายต่อสุขภาพมากขึ้น
นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า คลื่นความร้อนถือเป็นภัยธรรมชาติประเภทหนึ่งที่สามารถเชื่อมโยงกับภาวะโลกร้อนได้อย่างชัดเจนที่สุด เมื่อโลกมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะเกิดคลื่นความร้อนรุนแรงก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ขณะที่ความรุนแรงและโอกาสเกิดของความหนาวเย็นสุดขั้วกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด
การเผชิญกับคลื่นความร้อนในปัจจุบันเกิดขึ้นในสภาพภูมิอากาศที่ร้อนขึ้นเฉลี่ย 1.2 องศาเซลเซียส และคาดว่าในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้าคลื่นความร้อนจะรุนแรงขึ้นตามอุณหภูมิโลกที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการศึกษาพบว่า คลื่นความร้อนบางเหตุการณ์ เช่น คลื่นความร้อนในแถบแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือปี 2021 คลื่นความร้อนในไซบีเรียปี 2020 และคลื่นความร้อนในสหราชอาณาจักรปี 2022 ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่แทบจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
นอกจากนี้ยังพบว่าปรากฏการณ์ทางอากาศที่ทำให้เกิดคลื่นความร้อนในหลายทวีปพร้อมกันในช่วงฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในเดือนมิถุนายนนี้ สหราชอาณาจักรได้เผชิญกับคลื่นความร้อนที่ทำให้อุณหภูมิสูงถึง 33 องศาเซลเซียส ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่า 100 เท่าเมื่อเทียบกับยุคก่อนที่มนุษย์จะเริ่มปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ในสหรัฐอเมริกา คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูกาลนี้ถือว่าน่ากังวลเป็นพิเศษ เพราะมักจะพบสภาพอากาศร้อนจัดในช่วงกลางฤดูร้อน ไม่ใช่ในเดือนมิถุนายน อุณหภูมิในแนวเส้นทางรถไฟ Acela Corridor ระหว่างวอชิงตันกับนิวยอร์ก จะสูงแตะถึง 38-40 องศาเซลเซียส พร้อมดัชนีความร้อนที่สูงถึง 43 องศาหรือมากกว่า ซึ่งสภาพเช่นนี้ส่งผลให้การอยู่กลางแจ้งในเวลานานกลายเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง และการที่อุณหภูมิในตอนกลางคืนไม่ลดลง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชน
นักวิจัยยังเตือนว่า แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์ที่ใช้คาดการณ์คลื่นความร้อนอาจประเมินความรุนแรงของคลื่นความร้อนในอนาคตต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากมีปัจจัยซับซ้อนอย่างการเปลี่ยนแปลงของมลพิษทางอากาศและการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสภาพอากาศที่อาจเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อน นอกจากนี้ การศึกษาล่าสุดยังพบว่าแบบจำลองภูมิอากาศมักไม่สามารถจับปรากฏการณ์โดมความร้อนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องได้อย่างแม่นยำ ซึ่งหมายความว่าคลื่นความร้อนที่รุนแรงและยาวนานขึ้นอาจเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
โดยรวมแล้ว ภาวะโลกร้อนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์กำลังเพิ่มความถี่ ความรุนแรง และระยะเวลาของคลื่นความร้อน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ ระบบนิเวศ และความมั่นคงทางอาหารทั่วโลกอย่างชัดเจน จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องเร่งดำเนินมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเตรียมรับมือกับผลกระทบที่เลี่ยงไม่ได้จากคลื่นความร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
